ผู้เขียน หัวข้อ: พิธีปลุกเสกสร้างความขลังได้จริงหรือ?  (อ่าน 19051 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ suwatchai

  • การนิ่งเงียบต่อคนโง่คนสามหาว เป็นทางยาวสู่เกียรติที่ใฝ่ฝัน ทั้งรักษาในศักดิ์ศรีเป็นเกราะกัน ไม่หุนหันฉันท์หมาวัดที่จัญไร เราจงดูราชสีห์น่าเกรงขาม ทุกผู้นามเกรงกลัวได้ไฉน ไม่เคยเห่าเคยหอนไล่ผู้ใด แล้วไซร้ใยมีเกียรติเป็นราชันต์...
  • สมาชิกที่ถูกแบน
  • **
  • กระทู้: 241
  • เพศ: ชาย
  • Death Is Beautiful & Sweet ....
    • MSN Messenger - suwatchai.com@windowslive.com
    • ดูรายละเอียด
    • อีเมล
     ผมอยากถามถึงความรู้สึกของท่านสมาชิกสักหน่อยนะครับ เพราะถ้าไม่ถามบางท่านอาจเข้าใจผิด หรืออาจเข้าใจผิดมานานแล้วก็เป็นได้ คือผมจะถามว่า...
     ท่านเข้าใจว่าวัตถุมงคลเมื่อเข้าพิธีแล้ว จะต้องศักดิ์สิทธิ์เสมอไปอย่างนั้นหรือเปล่า ?
     ผมว่ามีหลายท่านทีเดียวที่มีความเข้าใจว่าวัตถุมงคลเมื่อนำเข้าพิธีปลุกเสกหรือพิธีพุทธาภิเษกแล้ว จะต้องมีความศักิด์สิทธิ์เสมอไป ที่เห็นได้ง่าย ๆ เลยก็คือทุกวันนี้ เวลาที่มีการจัดพิธีพุทธาภิเษก ก็จะมีคนไปขอเช่าวัตถุมงคลกันเป็นจำนวนมาก รวมไปถึงมีผู้ที่นำเอาวัตถุมงคลของตัวเองที่เก็บไว้ ไปฝากเข้าพิธีด้วยโดยเชื่อว่านั่นจะเป็นการเพิ่มพลังความศักดิ์สิทธิ์หรือพุทธคุณให้กับวัตถุมงคลยิ่ง ๆ ขึ้น
     ก่อนอื่น ผมคงต้องขอออกตัวก่อนนะครับว่าผมไม่ได้มีเจตนาพูดว่าการปลุกเสกวัตถุมงคลเดี๋ยวนี้ไม่ศักดิ์สิทธิ์ แต่ความหมายของผมคือ " การปลุกเสกวัตถุมงคลเดี๋ยวนี้ หาได้ศักดิ์สิทธิ์ไปทุกพิธี " ทั้งนี้ เพราะการสร้างและปลุกเสกวัตถุมงคลให้ศักดิ์สิทธิ์นั้น มันต้องมีองค์ประกอบหลาย ๆ อย่าง อาทิเช่น การคำนวณหาฤกษ์พิธี การจัดพิธีกรรมได้อย่างถูกต้องตามตำรา พลังจิตของผู้สร้าง ตลอดจนเคล็ดลับต่าง ๆ ตามที่ตำราบ่งบอกเอาไว้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะขาดเสียมิได้เลยสำหรับการสร้างและปลุกเสกวัตถุมงคล
    แต่คนทุกวันนี้ มีความเข้าใจผิดกันมากว่าการสร้างและปลุกเสกวัตถุมงคลที่เกิดความศักดิ์สิทธิ์ได้นั้น ล้วนเกิดจาก " คาถาอาคม " ผมว่านั่นเป็นความเข้าใจที่ผิด
    หลายคนมักจะเข้าใจอย่างนี้ ซึ่งคงโทษกันไม่ได้ เพราะตำราการสร้างวัตถุมงคลต่าง ๆ เมื่อสร้างเสร็จแล้ว ก็จะต้องมีคาถาอาคมสำหรับการปลุกเสกเอาไว้เสมอ รวมไปถึงคาถาที่ใช้ในการท่องบ่นภาวนาที่ว่ามีอานุภาพทางเมตตามหานิยม แคล้วคลาด คงกระพัน มหาอุดและโชคลาภ เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงย่อมที่จะทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้ว่าคุณวิเศษต่าง ๆ ที่มีนั้น เกิดขึ้นได้เพราะคาถาอาคม
     หากจะว่ากันตรง ๆ ตามหลักการในด้านไสยศาสตร์หรือการสร้างวัตถุมงคลต่าง ๆ นั้น คาถามีส่วนทำให้วัตถุมงคลเกิดความศักดิ์สิทธิ์ได้ก็จริง แต่คาถาจะทำให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาไม่ได้อย่างเด็ดขาดหากปราศจากอำนาจของพลังจิต พูดง่าย ๆ ก็คือว่าคาถาจะเกิดความศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาได้ก็ต่อเมื่อผู้ท่องหรือบริ กรรมคาถานั้น มีพื้นฐานอำนาจจิต โดยเป็นผู้ที่ผ่านการฝึกฝนปฏิบัติสมาธิวิปัสนากรรมฐานจนได้ฌาณ ญาณสมาบัติหรือกสิณอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือถ้าพูดกันในด้านของการปฏิบัติก็หมายความว่า ผู้นั้นต้องมี " อภิญ ญา " เพราะหากไม่เป็นเช่นนั้น ต่อให้ท่องคาถาจนเหนียงยาน ความศักดิ์สิทธิ์ก็จะไม่มีวันบังเกิดขึ้นได้อย่างเด็ดขาดและแน่นอนที่สุดด้วย
     ทั้งนี้ หากว่าคาถาอาคมสามารถทำให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์ได้จริง ถ้าเช่นนั้น คนเราทุกคนก็สามารถเป็นผู้วิเศษได้หมด เพียงแค่ไปขอเรียนคาถาจากใครก็ได้สักบทสองบท หรือไม่ก็หาเอาจากในเว็บเรานี่แหละ...
แล้วถามว่าความศักดิ์สิทธิ์จะบังเกิดได้จริงเหรอ ?
     สมัยก่อนนั้น ในการเรียนคาถาอาคมหรือวิชาไสยศาสตร์  ก่อนที่อาจารย์จะถ่ายทอดให้แก่ศิษย์นั้น ท่านจะให้ไปหัดฝึกพิ้นฐานอำนาจจิตเสียก่อน หรือไม่ก็เรียนภาคทฤษฎีและฝึกปฎิบัติไปพร้อม ๆ กัน  แต่โดยธรรมเนียมแล้ว เขาจะต้องเริ่มฝึกพิ้นฐานอำนาจจิตเสียก่อน เปรียบเสมือนการขึ้นต้นไม้ ก็จะต้องปีนขึ้นไปจากทางด้านโคนต้นไม้ก่อนทั้งสิ้น หาใช่โดยการเรียนลัดด้วยการขึ้นต้นไม้ทางยอดโดยการกระโดดข้ามไปเรียนคาถาก่อนเลยแต่อย่างใดไม่ โดยไม่มีการฝึกพื้นฐานทางอำนาจจิตให้แข็งแกร่งเสียก่อน ซึ่งเมื่อฝึกไม่ถูกวิธี ขาดความอุตสาหะ ไร้ซึ่งบารมี เมื่อนั้นพื้นฐานทางอำนาจจิตก็จะไม่บังเกิดขึ้นด้วย...
     ผมเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าปัจจุบันนี้ จะมีพระเกจิอาจารย์สักกี่ท่านที่หยั่งรู้ว่าหลักของการเกิดความศักดิ์สิทธิ์ ต้องเกิดมาจากอำนาจจิตก่อน? หรือถึงแม้ว่ารู้ แล้วจะมีสักกี่ท่านที่สามารถฝึกเช่นนั้นได้ ? ด้วยเหตุนี้แหละครับ ผมจึงคิดว่าการปลุกเสกวัตถุมงคลสมัยนี้ หาใช่มีความศักดิ์สิทธิ์ไปเสียทุกพิธี ทั้งนี้ เพราะความศักดิ์สิทธิ์ มิได้อยู่ที่ตัวคาถา หากแต่อยู่ที่พลังจิตต่างหากครับ แล้วพวกท่านสมาชิกมีความคิดเห็นอย่างไรบ้างครับ ?
***********************
    สาระประโยชน์อันใดที่เกิดจากข้อเขียนอันเป็นข้อคิดนี้ ข้าพเจ้าขอมอบอุทิศคุณความดีและกุศลบุญทั้งหลายแด่รูบาอาจารย์และเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายทั้งในอดีตชาติและปัจจุบันชาติ.....
สุวัชัย สมไพบูลย์   

ออฟไลน์ ชลาพุชะ

  • เราอาจไม่รู้มากนัก แต่เรารู้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควร
  • อัฏฐมะ
  • ***
  • กระทู้: 1526
  • เพศ: ชาย
  • ที่นี่คือเว็บวัดบางพระ เราก็ศิษย์วัดบางพระ
    • ดูรายละเอียด
              หากเป็นผม ต้อง ดู ว่าใครเป็นผู้ปลุกเสก ใครเป็นเจ้าพิธี วัดไหนเป็นหลักครับ แล้วสุดท้ายต้องดูเงินในกระเป๋า ว่าพอบูชาไหม บางที่ของบางอย่างอยากได้มากแต่เหลือกำลัง ก็ไม่บูชา
              ก็ดั่งท่านว่า บางคนมือไม่ถึง หรือ ยังไม่ถึงขั้น ได้ปลุกร่วมปลุกเสกเฉยอาศัยเกาะดังหรือไม่ก็วัดหาใครไม่ได้รึปล่าว ผมก็งงๆ ขำๆอย่าคิดมากเลยท่าน ไม่เชื่อก็ไม่ต้องบูชานะท่าน หลับฝันดี เสาร์นี้ เจอกัน ที่ 66

              
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29 ก.ค. 2552, 11:36:51 โดย ชลาพุชะ »

ออฟไลน์ นอมอท้อผิด

  • ฉัฏฐะ
  • *
  • กระทู้: 157
  • เพศ: ชาย
  • ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
    • MSN Messenger - pan-lop@hotmail.com
    • ดูรายละเอียด
ใช้พลังศรัทธา และความเชื่อมั่นในครูบาอาจารย์

อิอิ

^^

ออฟไลน์ พุงโต

  • ปัญจมะ
  • *****
  • กระทู้: 131
    • ดูรายละเอียด
ปัญหาทุกอย่างจะหมดไป เมื่อเราได้ฝึกสมาธิจนได้ ฌานหรือญาณ สามารถสัมผัสได้ถึงพลังหรือสามารถมองเห็นพลังเหล่านั้น หรือหลาย ๆ คนก็ฝึกวิธีจับพลังพระเครื่อง  ก็จะทำให้ไม่จำเป็นต้องไปดูรายละเอียดยิบเหมือนเซียนพระทั้งหลาย 

และกว่าที่เราจะทำได้ขนาดนั้นหรือทำไม่ได้เลย  ในระหว่างการฝึกเราก็เหมือนคนตาบอด ที่เดินทางถ้าเราไม่มีความศรัทธาก็คงนั่งลงอยู่ตรงนั้นและไปไม่ถึงไหน  แต่ถ้าเราศรัทธาในพระเครื่องและเครื่องราง มันก็จะทำให้เรากล้าที่จะเดินต่อไป อย่างไม่กลัว..........

ความศรัทธาเป็นสิ่งที่สำคัญแก่พุทธศาสนา ถ้าไม่มีความศรัทธาแล้วก็จบแค่นั้น  แม้แต่การฝึกสมาธิก็ต้องอาศัยความศรัทธา ถ้าคุณไม่มีความศรัทธาก็คงไม่ประโยชน์อะไรที่จะฝึกสมาธิ

และพระเครื่องก็เหมือนกัน  ถ้าไม่มีความศรัทธาต่อให้ปลุกเสกเป็นพันปี  พระเครื่องนั้นก็แค่ดินเปล่า ๆ เท่านั้นเองแต่ พระเครื่องบางองค์ไม่ได้ผ่านการปลุกเสกแต่คนที่แขวนนั้นมีความศรัทธามากต่อองค์พระ ก็สามารถที่จะทำให้พระเครื่องนั้นมีความขลังได้

และเมื่อมองในปัจจุบันอยากทราบว่าจะมีสักกี่คนที่มีความศรัทธาอย่างแน่วแน่ต่อองค์พระที่แขวน สามารถระลึกถึงได้ทุกเวลา เพราะถ้าคุณไม่สามารถทำได้อย่างนี้ก็จง หาพระเครื่องที่ผ่านการปลุกเสก อธิฐานจิต ของพระสงฆ์ที่ปลุกเสกจะดีกว่า .............



ตายแน่ ตายแน่ สักวันหนึ่งฉันต้องตาย กลายเป็นผี เหมือนพวกนี้แน่ ๆ

ออฟไลน์ พ่อขุนผาเมือง

  • สัปปิติโย วินัสตูมาเต๊
  • จตุตถะ
  • ****
  • กระทู้: 147
  • เพศ: ชาย
  • ร่วมกันเชิดชูธง เพื่อเสรีภาพและประชาธิปไตย
    • ดูรายละเอียด
    • อีเมล
กระผมว่านะครับ วัตถุมงคลเนี่ยก็มีมาตั้งนานนมแล้วมากับบรรพบุรุษเรา มีมาตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว แต่สมัยนี้เนี่ยมีทั้งวัตถุมงคลปลอมเยอะแยะ แต่ที่แน่ๆเนี่ยถ้าผมจะหาเช่านะครับผมก็จะหาผู้รู้ที่นับถือช่วยดูให้อีกทางนึง แต่ทุกสิ่งทุกอย่างเนี่ยผมว่าขึ้นอยู่ที่จิตใจ อยู่ที่เราว่าเรานับถือมากน้อยเท่าไหร่ ทุกอย่างมันเป็น อนิจจัง
ความสุขจงเกิดกับคนทั้งประเทศเถิด สาธุ สาธุ สาธุ

ออฟไลน์ โยคี

  • เด็กวัด
  • *****
  • กระทู้: 1361
  • เพศ: ชาย
  • เมตตาธรรมค้ำจุนโลก
    • ดูรายละเอียด
เผ่าวูตู เต้นรอบองไฟ ยังขลังเลย :054:
อิติ สุคคะโต อะระหัง พุทโธ นะโมพุทธายะ  ฐิตคุโณ อาจาริโย จะมหาเถโร
มหาลาโภ สัพพะสุขขัง จะมหาลาภัง สัพพะโภคัง สัพพะธะนัง ภะวันตุเม

ออฟไลน์ ~@เสน่ห์เอ็ม@~

  • ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย พระคุณบิดามารดาผู้มีพระคุณ แล ครูบาอาจารย์ผู้เกื้อหนุน สาธุ..
  • เด็กวัด
  • *****
  • กระทู้: 5894
  • เพศ: ชาย
  • ศิษวัดบางพระ
    • ดูรายละเอียด
เอแล้ว ทำไม ภาพบางภาพ เป็นพระที่เราเคารพนับถือ และรูปพระพุทธรูปที่เรานับถือ
ยังไม่ได้ผ่านทั้งพิธีปลุกเสกทั้งแบบ คาถา(พิธี) และเสกด้วยกำลังจิต ถึงขลังหละครับ
บางคนแขวนรูปถ่าย ทั้งที่ไม่ได้ปลุกเสกแต่เขานับถือ โดนยิงยังรอดตายมามากแล้ว
แขวนอะไรก็ได้ ที่เราศรัทธา ไม่ใช่แขวนเพราะ ว่า พระองค์นั้น คนนิยมราคาแพง พระเครื่องเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ ให้คนทำความดี
ไม่ใช่เห็นพระเป็นของแพง เห้นบางคนแขวน โชว์จัง ดูยังเซียนพระดิ ครับ ตายกันมาเยอะแล้ว
คนเราหนีไม่พ้นความตายหลอก อยู่ที่ว่าจะช้าหรือเร็ว
น่าคิด ผมคิดว่าอยุ่ที่ศรัทธามากกว่า ส่วนที่จิตที่อธิฐานของพระเกจินั้นก็มีส่วนอยู่ แต่ผมคิดว่าทุกอย่างเกิดที่ใจ
ศรัทธา นำพาซึ่งปฏิหาร  จิตที่บริสุทธิ์ที่สื่อถึงสิ่งที่เรานับถือ ขนาดนึกถึงพ่อกับแม่ ก็ยังขลังเลย ครับ

ส่วนคาถา หากจิตใจเราบริสุทธิ์มุ่งแต่ความดี แค่บทสวดสรรเสริญพระพุทธเจ้า หรืออิติปิโส ก็ขลังแล้ว ครับ

บุญไม่มี พลังก็ไม่เกิด คนไม่มีบุญ แขวนพระองค์ 10 ล้านก็ตาย เสกดีแค่ไหน แต่ไม่หมั่นทำบุญเลยก็แย่
คนมันจะตาย แขวนไรก็ตาย .........ตาย ตาย ตาย ตาย 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30 ก.ค. 2552, 12:37:34 โดย {{{เอ็ม}}} »

ออฟไลน์ mawin_14

  • สัตตมะ
  • **
  • กระทู้: 1210
    • ดูรายละเอียด
    • อีเมล
แน่นอนครับ วัตถุมงคลจะดีจะขลัง ก็อยู่ที่ผู้สร้างและผู้เสกครับ ก่อนจะเช่าหาบูชา ผมจะลองเช็คประวัติการสร้างก่อน รวมถึงสถานที่ปลุกเสก วันและเวลาก็สำคัญเช่นกัน ถ้าเรามั่นใจก็ควักตังออกมาเลยได้ของดีแน่นอน หากว่าไม่มั่นใจ ในเกจิท่านใด ก็ผ่านครับ แบบนี้ สบายใจกว่าเยอะครับ ศรัทธาย่อมมาก่อนครับ แล้วสิ่งต่างๆจะตามมา

ออฟไลน์ cho presley

  • ------> I'm Cho Presley
  • นวมะ
  • ****
  • กระทู้: 2049
  • เพศ: หญิง
  • สุดท้ายก็กาหลง!
    • MSN Messenger - cho.khalong@hotmail.com
    • AOL Instant Messenger - เมืองเสน่ห์กาหลง
    • Yahoo Instant Messenger - มหาเสน่ห์+เมตตา+มหานิยม
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.khalong.com
ความคิดเห็นท่านพี่สุวัจชัย สมไพบูลย์ ล้ำไปซะงั้น...
เคยสงสัยแบบท่านพี่เหมือนกันหละ.. แต่ไม่กล้าจะถาม กลัวเงอะงะ..  :004:
แค่ผู้หญิงไปจุ้นจ้าน เรื่องวัตถุมงคล อะไรประเภทนี้ก็ดู.. เงอะพอแระ.. พ่อก็ไม่ค่อยปลื้มคร่า..

โดยส่วนตัวแล้ว... สงสัยก็เรื่อง...ฤกษ์ปลุกเสก.. อย่างหลวงปู่กาหลง เตชะวันโณ ท่านมีซินแสท่านหนึ่ง (เป็นซินแสประจำตัวของน้องโชวด้วยแหละ..!)
คอยดูฤกษ์ปลุกเสกวัตถุมงคลให้อีกทีด้วยค่ะ.. รวมถึงฤกษ์ผานาทีที่เป็นฤกษ์ครอบเศียรพระลักษมณ์หน้าทอง ไหว้ครู ฯลฯ ..


แล้วยังมีคำถามคาใจอีกค่ะว่า..
การที่เราเอาวัตถุมงคลของอาจารย์หนึ่ง ไปให้อีกอาจารย์หนึ่งเพิ่มพลัง หรือปลุกเสกเพิ่มนี่.. มันจะเป็นยังไง?

เช่น เอารูปหล่อนางพิม ดำเซ็น (เสน่ห์ เมตตามหานิยม)ไปเพิ่มพลังกับเกจิที่กำลังปลุกเสกวัตถุมงคลประเภทมหาอุต คงกะพัน หรือ...
เอาตะกรุดเกราะเพชร(เหนียว)ไปให้เกจิสายเสน่ห์เมตตามหานิยมปลุกเพิ่มพลัง... เง็งค่ะ.. :061:



 

cho presley       

ออฟไลน์ cho presley

  • ------> I'm Cho Presley
  • นวมะ
  • ****
  • กระทู้: 2049
  • เพศ: หญิง
  • สุดท้ายก็กาหลง!
    • MSN Messenger - cho.khalong@hotmail.com
    • AOL Instant Messenger - เมืองเสน่ห์กาหลง
    • Yahoo Instant Messenger - มหาเสน่ห์+เมตตา+มหานิยม
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.khalong.com
              หากเป็นผม ต้อง ดู ว่าใครเป็นผู้ปลุกเสก ใครเป็นเจ้าพิธี วัดไหนเป็นหลักครับ แล้วสุดท้ายต้องดูเงินในกระเป๋า ว่าพอบูชาไหม บางที่ของบางอย่างอยากได้มากแต่เหลือกำลัง ก็ไม่บูชา
              ก็ดั่งท่านว่า บางคนมือไม่ถึง หรือ ยังไม่ถึงขั้น ได้ปลุกร่วมปลุกเสกเฉยอาศัยเกาะดังหรือไม่ก็วัดหาใครไม่ได้รึปล่าว ผมก็งงๆ ขำๆอย่าคิดมากเลยท่าน ไม่เชื่อก็ไม่ต้องบูชานะท่าน หลับฝันดี เสาร์นี้ เจอกัน ที่ 66
               

อะไรคือเกาะดังหรือคะท่าน... (อยู่ประเทศไหนรึ) แล้วท่านน้องจะไปทำไมที่ 66...  :073:

ออฟไลน์ @ZeRo@

  • จตุตถะ
  • ****
  • กระทู้: 301
  • เพศ: ชาย
  • CPW 17
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: พิธีปลุกเสกสร้างความขลังได้จริงหรือ?
« ตอบกลับ #10 เมื่อ: 31 ก.ค. 2552, 12:35:25 »
              หากเป็นผม ต้อง ดู ว่าใครเป็นผู้ปลุกเสก ใครเป็นเจ้าพิธี วัดไหนเป็นหลักครับ แล้วสุดท้ายต้องดูเงินในกระเป๋า ว่าพอบูชาไหม บางที่ของบางอย่างอยากได้มากแต่เหลือกำลัง ก็ไม่บูชา
              ก็ดั่งท่านว่า บางคนมือไม่ถึง หรือ ยังไม่ถึงขั้น ได้ปลุกร่วมปลุกเสกเฉยอาศัยเกาะดังหรือไม่ก็วัดหาใครไม่ได้รึปล่าว ผมก็งงๆ ขำๆอย่าคิดมากเลยท่าน ไม่เชื่อก็ไม่ต้องบูชานะท่าน หลับฝันดี เสาร์นี้ เจอกัน ที่ 66
               

อะไรคือเกาะดังหรือคะท่าน... (อยู่ประเทศไหนรึ) แล้วท่านน้องจะไปทำไมที่ 66...  :073:

เรื่องการที่พระหรือฆาราวาสร่วมพิธีพุทธาภิเสก เห็นอยู่เยอะครับ  ของจริงเขาก็มีครับที่เขาเรียนมา จริงทำได้ จริงได้รับการยอมรับจากพระอาจารย์ในสายนั้นในวัดนั้นให้เป็นเจ้าพิธีบวงสรวง ดำเนินการจนแล้วเสร็จพิธี
ที่แอบอ้างว่าเปนของสายนั้นสายนี้ แบบไม่ได้เรียนจริงก็เยอะครับ อย่างที่วัดท้องไทรหลวงปู่อั๊บท่านก็มีคนแอบอ้างว่าเป็นศิษย์ท่านเยอะครับ บางคนแค่มายกพานให้หลวงปู่เป่าก็ถ่ายรูปไว้บอกว่ามาเรียนวิชา บางคนก็มาหาท่านถ่ายรูปด้วยก็บอกศิษย์เอก แบบนี้ผิดครูทำมาหากินลำบากครับ ต้องทำแบบที่ท่านเจ้าของกระทู้แนะนำครับดูนานๆ


ถึงเถาวัลย์พันเกี่ยวที่เลี้ยวลด    ก็ไม่คดเหมือนหนึ่งในหัวใจคน

ออฟไลน์ Kanya

  • จตุตถะ
  • ****
  • กระทู้: 99
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: พิธีปลุกเสกสร้างความขลังได้จริงหรือ?
« ตอบกลับ #11 เมื่อ: 31 ก.ค. 2552, 01:18:50 »
     ผมอยากถามถึงความรู้สึกของท่านสมาชิกสักหน่อยนะครับ เพราะถ้าไม่ถามบางท่านอาจเข้าใจผิด หรืออาจเข้าใจผิดมานานแล้วก็เป็นได้ คือผมจะถามว่า...
     ท่านเข้าใจว่าวัตถุมงคลเมื่อเข้าพิธีแล้ว จะต้องศักดิ์สิทธิ์เสมอไปอย่างนั้นหรือเปล่า ?
     ผมว่ามีหลายท่านทีเดียวที่มีความเข้าใจว่าวัตถุมงคลเมื่อนำเข้าพิธีปลุกเสกหรือพิธีพุทธาภิเษกแล้ว จะต้องมีความศักิด์สิทธิ์เสมอไป ที่เห็นได้ง่าย ๆ เลยก็คือทุกวันนี้ เวลาที่มีการจัดพิธีพุทธาภิเษก ก็จะมีคนไปขอเช่าวัตถุมงคลกันเป็นจำนวนมาก รวมไปถึงมีผู้ที่นำเอาวัตถุมงคลของตัวเองที่เก็บไว้ ไปฝากเข้าพิธีด้วยโดยเชื่อว่านั่นจะเป็นการเพิ่มพลังความศักดิ์สิทธิ์หรือพุทธคุณให้กับวัตถุมงคลยิ่ง ๆ ขึ้น
     ก่อนอื่น ผมคงต้องขอออกตัวก่อนนะครับว่าผมไม่ได้มีเจตนาพูดว่าการปลุกเสกวัตถุมงคลเดี๋ยวนี้ไม่ศักดิ์สิทธิ์ แต่ความหมายของผมคือ " การปลุกเสกวัตถุมงคลเดี๋ยวนี้ หาได้ศักดิ์สิทธิ์ไปทุกพิธี " ทั้งนี้ เพราะการสร้างและปลุกเสกวัตถุมงคลให้ศักดิ์สิทธิ์นั้น มันต้องมีองค์ประกอบหลาย ๆ อย่าง อาทิเช่น การคำนวณหาฤกษ์พิธี การจัดพิธีกรรมได้อย่างถูกต้องตามตำรา พลังจิตของผู้สร้าง ตลอดจนเคล็ดลับต่าง ๆ ตามที่ตำราบ่งบอกเอาไว้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะขาดเสียมิได้เลยสำหรับการสร้างและปลุกเสกวัตถุมงคล
    แต่คนทุกวันนี้ มีความเข้าใจผิดกันมากว่าการสร้างและปลุกเสกวัตถุมงคลที่เกิดความศักดิ์สิทธิ์ได้นั้น ล้วนเกิดจาก " คาถาอาคม " ผมว่านั่นเป็นความเข้าใจที่ผิด
    หลายคนมักจะเข้าใจอย่างนี้ ซึ่งคงโทษกันไม่ได้ เพราะตำราการสร้างวัตถุมงคลต่าง ๆ เมื่อสร้างเสร็จแล้ว ก็จะต้องมีคาถาอาคมสำหรับการปลุกเสกเอาไว้เสมอ รวมไปถึงคาถาที่ใช้ในการท่องบ่นภาวนาที่ว่ามีอานุภาพทางเมตตามหานิยม แคล้วคลาด คงกระพัน มหาอุดและโชคลาภ เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงย่อมที่จะทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้ว่าคุณวิเศษต่าง ๆ ที่มีนั้น เกิดขึ้นได้เพราะคาถาอาคม
     หากจะว่ากันตรง ๆ ตามหลักการในด้านไสยศาสตร์หรือการสร้างวัตถุมงคลต่าง ๆ นั้น คาถามีส่วนทำให้วัตถุมงคลเกิดความศักดิ์สิทธิ์ได้ก็จริง แต่คาถาจะทำให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาไม่ได้อย่างเด็ดขาดหากปราศจากอำนาจของพลังจิต พูดง่าย ๆ ก็คือว่าคาถาจะเกิดความศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาได้ก็ต่อเมื่อผู้ท่องหรือบริ กรรมคาถานั้น มีพื้นฐานอำนาจจิต โดยเป็นผู้ที่ผ่านการฝึกฝนปฏิบัติสมาธิวิปัสนากรรมฐานจนได้ฌาณ ญาณสมาบัติหรือกสิณอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือถ้าพูดกันในด้านของการปฏิบัติก็หมายความว่า ผู้นั้นต้องมี " อภิญ ญา " เพราะหากไม่เป็นเช่นนั้น ต่อให้ท่องคาถาจนเหนียงยาน ความศักดิ์สิทธิ์ก็จะไม่มีวันบังเกิดขึ้นได้อย่างเด็ดขาดและแน่นอนที่สุดด้วย
     ทั้งนี้ หากว่าคาถาอาคมสามารถทำให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์ได้จริง ถ้าเช่นนั้น คนเราทุกคนก็สามารถเป็นผู้วิเศษได้หมด เพียงแค่ไปขอเรียนคาถาจากใครก็ได้สักบทสองบท หรือไม่ก็หาเอาจากในเว็บเรานี่แหละ...
แล้วถามว่าความศักดิ์สิทธิ์จะบังเกิดได้จริงเหรอ ?
     สมัยก่อนนั้น ในการเรียนคาถาอาคมหรือวิชาไสยศาสตร์  ก่อนที่อาจารย์จะถ่ายทอดให้แก่ศิษย์นั้น ท่านจะให้ไปหัดฝึกพิ้นฐานอำนาจจิตเสียก่อน หรือไม่ก็เรียนภาคทฤษฎีและฝึกปฎิบัติไปพร้อม ๆ กัน  แต่โดยธรรมเนียมแล้ว เขาจะต้องเริ่มฝึกพิ้นฐานอำนาจจิตเสียก่อน เปรียบเสมือนการขึ้นต้นไม้ ก็จะต้องปีนขึ้นไปจากทางด้านโคนต้นไม้ก่อนทั้งสิ้น หาใช่โดยการเรียนลัดด้วยการขึ้นต้นไม้ทางยอดโดยการกระโดดข้ามไปเรียนคาถาก่อนเลยแต่อย่างใดไม่ โดยไม่มีการฝึกพื้นฐานทางอำนาจจิตให้แข็งแกร่งเสียก่อน ซึ่งเมื่อฝึกไม่ถูกวิธี ขาดความอุตสาหะ ไร้ซึ่งบารมี เมื่อนั้นพื้นฐานทางอำนาจจิตก็จะไม่บังเกิดขึ้นด้วย...
     ผมเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าปัจจุบันนี้ จะมีพระเกจิอาจารย์สักกี่ท่านที่หยั่งรู้ว่าหลักของการเกิดความศักดิ์สิทธิ์ ต้องเกิดมาจากอำนาจจิตก่อน? หรือถึงแม้ว่ารู้ แล้วจะมีสักกี่ท่านที่สามารถฝึกเช่นนั้นได้ ? ด้วยเหตุนี้แหละครับ ผมจึงคิดว่าการปลุกเสกวัตถุมงคลสมัยนี้ หาใช่มีความศักดิ์สิทธิ์ไปเสียทุกพิธี ทั้งนี้ เพราะความศักดิ์สิทธิ์ มิได้อยู่ที่ตัวคาถา หากแต่อยู่ที่พลังจิตต่างหากครับ แล้วพวกท่านสมาชิกมีความคิดเห็นอย่างไรบ้างครับ ?
***********************
    สาระประโยชน์อันใดที่เกิดจากข้อเขียนอันเป็นข้อคิดนี้ ข้าพเจ้าขอมอบอุทิศคุณความดีและกุศลบุญทั้งหลายแด่รูบาอาจารย์และเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายทั้งในอดีตชาติและปัจจุบันชาติ.....
สุวัชัย สมไพบูลย์   

 หากจะบอกว่าความขลังของวัตถุมงคลเกิดจากอะไร ก่อนอื่นขอพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับวัตถุมงคลทางศาสนาพุทธก่อน
ครั้งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพิ่งตรัสรู้ มีพ่อค้าม้า 2 พี่น้องคือตปุสสะและภัลลิกะ ได้เข้าไปเฝ้าและเกิดการเลื่อมใส
ถึงพระพุทธ พระธรรมว่าเป็นสรณะ นับเป็น เทววาจิกอุบาสก (อ่านว่า ทะเววาจิกะอุบาสก) แล้วจึงทูลขอสิ่งที่เป็น
ตัวแทนองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้เป็นที่ระลึก ครั้งนั้น พระองค์ทรงลูบพระเศียรมีเส้นพระเกศาติดพระหัตถ์มา
จึงทรงมอบเส้นพระเกศาให้แก่สองพี่น้อง(ท่านคิดว่าเส้นพระเกศานี้ศักดิ์สิทธิ์ไหม เพราะองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ปลุกเสก)
   ครั้นต่อมา เมื่อมีภิกษุสาวกเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก เมื่อพระอริยะสาวกนิพพานลง พระองค์ก็ให้สร้างสถูป
เก็บอัฏฐิธาตุนั้นไว้เพื่อให้ผู้คนกราบไว้ แม้เมื่อพระอานนท์นิพพาน ก็มีผู้มาแย่งเอาพระธาตุไปไว้บูชา และแม้บริขารของ
องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ได้บรรจุเป็นบริโภคเจดีย์ โดยไม่ต้องปลุกเสก
   ทีนี้มาพูดกันเรื่องความขลังอีกส่วนหนึ่ง คือการทำน้ำมนต์ในงานบุญต่างๆ ความขลังของการทำน้ำมนต์
หรือน้ำพระพุทธมนต์มาจากไหน สมมุติว่ามาจากการสวดมนต์เพียงอย่างเดียว ถ้าแบบนั้นคงไม่ต้องนิมนต์พระไปสวด
ให้ชาวบ้านสวดก็คงได้ แล้วถ้าจะต้องให้พระที่พลังจิตไปสวด ถ้าแบบนั้นทำบุญนิมนต์พระกัน100บ้าน
จะมีสักบ้านไหมที่จะได้พระที่มีพลังจิต และถ้าได้พระที่ไม่มีพลังจิต ไม่สำเร็จฌาณไปสวด น้ำมนต์จะไม่ขลัง
ไม่ศักดิ์สิทธิ์ใช่ไหม ถ้าเป็นเช่นนั้น ต่อไปคงไม่ต้องเสาะหาแต่พระที่สำเร็จฌาณไปประกอบพิธีทำบุญบ้านกันหรือ
แล้วพระที่ได้ฌาณ ท่านก็บอกไม่ได้อีก ว่าท่านได้ฌาณหรือไม่ เพราะผิดพระวินัย เอาละสิ ยุ่งกันไปใหญ่แล้ว
   เอาละ มาดูกันอีกหน่อย สำหรับคนที่เคยบวช เคยสวดไหมคับ คาถากันไฟน่ะ อัตถิโลเก สีลคุโณ....
รู้ไหมบทนี้น่ะ ผู้ที่สวดครั้งแรก เป็นแค่ลูกนกตัวหนึ่ง อย่าว่าแต่ฌาณเลยนะขอรับ เราแค่เฉียดสมาธิยังไม่มีเลย
แต่ผลจากการสวด กลับทำให้ไฟไม่ไหม้รัง เอ้า!!งงกันไปใหญ่ ไอ้กระผมคนโง่เขลา ความรู้น้อย ด้อยปัญญา
หาความคิดไม่ได้ ก็เลยไม่รู้จะว่ายังไง กับคำว่า
   "ผมเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าปัจจุบันนี้ จะมีพระเกจิอาจารย์สักกี่ท่านที่หยั่งรู้ว่าหลักของการเกิดความศักดิ์สิทธิ์ ต้องเกิดมาจากอำนาจจิตก่อน? หรือถึงแม้ว่ารู้ แล้วจะมีสักกี่ท่านที่สามารถฝึกเช่นนั้นได้ ?"
   เพราะอะไรน่ะเหรอ เพราะกะแค่ลูกนกมันยังใช้คาถาจนตัวเองรอดจากพระเพลิงเสียได้ เฮ้อ!!มนุษย์ผู้ฉลาด
ขนาดจบปริญญาโท จะพูดอะไรไยไม่ศึกษาให้ถ่องแท้ เพราะคำๆนี้ ไอ้ที่ผมยกมาน่ะ คนเขียนจะปฏิเสธไม่ได้เลยว่า
เขียนเพื่ออวดตัวเองว่าข้ารู้จริง ว่า "หลักของการเกิดความศักดิ์สิทธิ์ ต้องเกิดมาจากอำนาจจิตก่อน" เอ้อหนอคนเรา ระดับการศึกษาสูงชั่งไม่ได้ทำให้จิตใจสูงขึ้นตามไปด้วยเลย
   เอาละ ทีนี้อยากรู้ไหมว่า ทำไมเจ้าลูกนกตัวนั้นสวดคาถานี้แล้วเกิดความศักดิ์สิทธิ์ แล้วน้ำพระพุทธมนต์
ที่พระไปสวดกันตามบ้านศักดิ์สิทธิ์ไหมยังไง ถ้าอยากรู้ก็ลองไปใช้ปัญญาศึกษามาขอรับ หรือไม่ ก็ถามมาขอรับ
สำหรับคนดีถามเพื่อความรู้ ข้าน้อยผู้ด้อยความรู้ จะใช้กำลังทั้งหมดเท่าที่มีไปเสาะหามาตอบให้อย่างเต็มกำลังความสามารถ
แต่หากถามไถ่มาภาษาพาล มีคำเหน็บแนมแฝงภายใน ข้าพเจ้าผู้โฉดเขลา ก็คงจะตอบเข้าไปเช่นที่ถามมาขอรับ

สาธุ

ออฟไลน์ suwatchai

  • การนิ่งเงียบต่อคนโง่คนสามหาว เป็นทางยาวสู่เกียรติที่ใฝ่ฝัน ทั้งรักษาในศักดิ์ศรีเป็นเกราะกัน ไม่หุนหันฉันท์หมาวัดที่จัญไร เราจงดูราชสีห์น่าเกรงขาม ทุกผู้นามเกรงกลัวได้ไฉน ไม่เคยเห่าเคยหอนไล่ผู้ใด แล้วไซร้ใยมีเกียรติเป็นราชันต์...
  • สมาชิกที่ถูกแบน
  • **
  • กระทู้: 241
  • เพศ: ชาย
  • Death Is Beautiful & Sweet ....
    • MSN Messenger - suwatchai.com@windowslive.com
    • ดูรายละเอียด
    • อีเมล
ตอบ: พิธีปลุกเสกสร้างความขลังได้จริงหรือ?
« ตอบกลับ #12 เมื่อ: 31 ก.ค. 2552, 04:52:02 »
     ผมอยากถามถึงความรู้สึกของท่านสมาชิกสักหน่อยนะครับ เพราะถ้าไม่ถามบางท่านอาจเข้าใจผิด หรืออาจเข้าใจผิดมานานแล้วก็เป็นได้ คือผมจะถามว่า...
     ท่านเข้าใจว่าวัตถุมงคลเมื่อเข้าพิธีแล้ว จะต้องศักดิ์สิทธิ์เสมอไปอย่างนั้นหรือเปล่า ?
     ผมว่ามีหลายท่านทีเดียวที่มีความเข้าใจว่าวัตถุมงคลเมื่อนำเข้าพิธีปลุกเสกหรือพิธีพุทธาภิเษกแล้ว จะต้องมีความศักิด์สิทธิ์เสมอไป ที่เห็นได้ง่าย ๆ เลยก็คือทุกวันนี้ เวลาที่มีการจัดพิธีพุทธาภิเษก ก็จะมีคนไปขอเช่าวัตถุมงคลกันเป็นจำนวนมาก รวมไปถึงมีผู้ที่นำเอาวัตถุมงคลของตัวเองที่เก็บไว้ ไปฝากเข้าพิธีด้วยโดยเชื่อว่านั่นจะเป็นการเพิ่มพลังความศักดิ์สิทธิ์หรือพุทธคุณให้กับวัตถุมงคลยิ่ง ๆ ขึ้น
     ก่อนอื่น ผมคงต้องขอออกตัวก่อนนะครับว่าผมไม่ได้มีเจตนาพูดว่าการปลุกเสกวัตถุมงคลเดี๋ยวนี้ไม่ศักดิ์สิทธิ์ แต่ความหมายของผมคือ " การปลุกเสกวัตถุมงคลเดี๋ยวนี้ หาได้ศักดิ์สิทธิ์ไปทุกพิธี " ทั้งนี้ เพราะการสร้างและปลุกเสกวัตถุมงคลให้ศักดิ์สิทธิ์นั้น มันต้องมีองค์ประกอบหลาย ๆ อย่าง อาทิเช่น การคำนวณหาฤกษ์พิธี การจัดพิธีกรรมได้อย่างถูกต้องตามตำรา พลังจิตของผู้สร้าง ตลอดจนเคล็ดลับต่าง ๆ ตามที่ตำราบ่งบอกเอาไว้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะขาดเสียมิได้เลยสำหรับการสร้างและปลุกเสกวัตถุมงคล
    แต่คนทุกวันนี้ มีความเข้าใจผิดกันมากว่าการสร้างและปลุกเสกวัตถุมงคลที่เกิดความศักดิ์สิทธิ์ได้นั้น ล้วนเกิดจาก " คาถาอาคม " ผมว่านั่นเป็นความเข้าใจที่ผิด
    หลายคนมักจะเข้าใจอย่างนี้ ซึ่งคงโทษกันไม่ได้ เพราะตำราการสร้างวัตถุมงคลต่าง ๆ เมื่อสร้างเสร็จแล้ว ก็จะต้องมีคาถาอาคมสำหรับการปลุกเสกเอาไว้เสมอ รวมไปถึงคาถาที่ใช้ในการท่องบ่นภาวนาที่ว่ามีอานุภาพทางเมตตามหานิยม แคล้วคลาด คงกระพัน มหาอุดและโชคลาภ เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงย่อมที่จะทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้ว่าคุณวิเศษต่าง ๆ ที่มีนั้น เกิดขึ้นได้เพราะคาถาอาคม
     หากจะว่ากันตรง ๆ ตามหลักการในด้านไสยศาสตร์หรือการสร้างวัตถุมงคลต่าง ๆ นั้น คาถามีส่วนทำให้วัตถุมงคลเกิดความศักดิ์สิทธิ์ได้ก็จริง แต่คาถาจะทำให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาไม่ได้อย่างเด็ดขาดหากปราศจากอำนาจของพลังจิต พูดง่าย ๆ ก็คือว่าคาถาจะเกิดความศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาได้ก็ต่อเมื่อผู้ท่องหรือบริ กรรมคาถานั้น มีพื้นฐานอำนาจจิต โดยเป็นผู้ที่ผ่านการฝึกฝนปฏิบัติสมาธิวิปัสนากรรมฐานจนได้ฌาณ ญาณสมาบัติหรือกสิณอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือถ้าพูดกันในด้านของการปฏิบัติก็หมายความว่า ผู้นั้นต้องมี " อภิญ ญา " เพราะหากไม่เป็นเช่นนั้น ต่อให้ท่องคาถาจนเหนียงยาน ความศักดิ์สิทธิ์ก็จะไม่มีวันบังเกิดขึ้นได้อย่างเด็ดขาดและแน่นอนที่สุดด้วย
     ทั้งนี้ หากว่าคาถาอาคมสามารถทำให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์ได้จริง ถ้าเช่นนั้น คนเราทุกคนก็สามารถเป็นผู้วิเศษได้หมด เพียงแค่ไปขอเรียนคาถาจากใครก็ได้สักบทสองบท หรือไม่ก็หาเอาจากในเว็บเรานี่แหละ...
แล้วถามว่าความศักดิ์สิทธิ์จะบังเกิดได้จริงเหรอ ?
     สมัยก่อนนั้น ในการเรียนคาถาอาคมหรือวิชาไสยศาสตร์  ก่อนที่อาจารย์จะถ่ายทอดให้แก่ศิษย์นั้น ท่านจะให้ไปหัดฝึกพิ้นฐานอำนาจจิตเสียก่อน หรือไม่ก็เรียนภาคทฤษฎีและฝึกปฎิบัติไปพร้อม ๆ กัน  แต่โดยธรรมเนียมแล้ว เขาจะต้องเริ่มฝึกพิ้นฐานอำนาจจิตเสียก่อน เปรียบเสมือนการขึ้นต้นไม้ ก็จะต้องปีนขึ้นไปจากทางด้านโคนต้นไม้ก่อนทั้งสิ้น หาใช่โดยการเรียนลัดด้วยการขึ้นต้นไม้ทางยอดโดยการกระโดดข้ามไปเรียนคาถาก่อนเลยแต่อย่างใดไม่ โดยไม่มีการฝึกพื้นฐานทางอำนาจจิตให้แข็งแกร่งเสียก่อน ซึ่งเมื่อฝึกไม่ถูกวิธี ขาดความอุตสาหะ ไร้ซึ่งบารมี เมื่อนั้นพื้นฐานทางอำนาจจิตก็จะไม่บังเกิดขึ้นด้วย...
     ผมเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าปัจจุบันนี้ จะมีพระเกจิอาจารย์สักกี่ท่านที่หยั่งรู้ว่าหลักของการเกิดความศักดิ์สิทธิ์ ต้องเกิดมาจากอำนาจจิตก่อน? หรือถึงแม้ว่ารู้ แล้วจะมีสักกี่ท่านที่สามารถฝึกเช่นนั้นได้ ? ด้วยเหตุนี้แหละครับ ผมจึงคิดว่าการปลุกเสกวัตถุมงคลสมัยนี้ หาใช่มีความศักดิ์สิทธิ์ไปเสียทุกพิธี ทั้งนี้ เพราะความศักดิ์สิทธิ์ มิได้อยู่ที่ตัวคาถา หากแต่อยู่ที่พลังจิตต่างหากครับ แล้วพวกท่านสมาชิกมีความคิดเห็นอย่างไรบ้างครับ ?
***********************
    สาระประโยชน์อันใดที่เกิดจากข้อเขียนอันเป็นข้อคิดนี้ ข้าพเจ้าขอมอบอุทิศคุณความดีและกุศลบุญทั้งหลายแด่รูบาอาจารย์และเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายทั้งในอดีตชาติและปัจจุบันชาติ.....
สุวัชัย สมไพบูลย์   

 หากจะบอกว่าความขลังของวัตถุมงคลเกิดจากอะไร ก่อนอื่นขอพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับวัตถุมงคลทางศาสนาพุทธก่อน
ครั้งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพิ่งตรัสรู้ มีพ่อค้าม้า 2 พี่น้องคือตปุสสะและภัลลิกะ ได้เข้าไปเฝ้าและเกิดการเลื่อมใส
ถึงพระพุทธ พระธรรมว่าเป็นสรณะ นับเป็น เทววาจิกอุบาสก (อ่านว่า ทะเววาจิกะอุบาสก) แล้วจึงทูลขอสิ่งที่เป็น
ตัวแทนองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้เป็นที่ระลึก ครั้งนั้น พระองค์ทรงลูบพระเศียรมีเส้นพระเกศาติดพระหัตถ์มา
จึงทรงมอบเส้นพระเกศาให้แก่สองพี่น้อง(ท่านคิดว่าเส้นพระเกศานี้ศักดิ์สิทธิ์ไหม เพราะองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ปลุกเสก)
   ครั้นต่อมา เมื่อมีภิกษุสาวกเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก เมื่อพระอริยะสาวกนิพพานลง พระองค์ก็ให้สร้างสถูป
เก็บอัฏฐิธาตุนั้นไว้เพื่อให้ผู้คนกราบไว้ แม้เมื่อพระอานนท์นิพพาน ก็มีผู้มาแย่งเอาพระธาตุไปไว้บูชา และแม้บริขารของ
องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ได้บรรจุเป็นบริโภคเจดีย์ โดยไม่ต้องปลุกเสก
   ทีนี้มาพูดกันเรื่องความขลังอีกส่วนหนึ่ง คือการทำน้ำมนต์ในงานบุญต่างๆ ความขลังของการทำน้ำมนต์
หรือน้ำพระพุทธมนต์มาจากไหน สมมุติว่ามาจากการสวดมนต์เพียงอย่างเดียว ถ้าแบบนั้นคงไม่ต้องนิมนต์พระไปสวด
ให้ชาวบ้านสวดก็คงได้ แล้วถ้าจะต้องให้พระที่พลังจิตไปสวด ถ้าแบบนั้นทำบุญนิมนต์พระกัน100บ้าน
จะมีสักบ้านไหมที่จะได้พระที่มีพลังจิต และถ้าได้พระที่ไม่มีพลังจิต ไม่สำเร็จฌาณไปสวด น้ำมนต์จะไม่ขลัง
ไม่ศักดิ์สิทธิ์ใช่ไหม ถ้าเป็นเช่นนั้น ต่อไปคงไม่ต้องเสาะหาแต่พระที่สำเร็จฌาณไปประกอบพิธีทำบุญบ้านกันหรือ
แล้วพระที่ได้ฌาณ ท่านก็บอกไม่ได้อีก ว่าท่านได้ฌาณหรือไม่ เพราะผิดพระวินัย เอาละสิ ยุ่งกันไปใหญ่แล้ว
   เอาละ มาดูกันอีกหน่อย สำหรับคนที่เคยบวช เคยสวดไหมคับ คาถากันไฟน่ะ อัตถิโลเก สีลคุโณ....
รู้ไหมบทนี้น่ะ ผู้ที่สวดครั้งแรก เป็นแค่ลูกนกตัวหนึ่ง อย่าว่าแต่ฌาณเลยนะขอรับ เราแค่เฉียดสมาธิยังไม่มีเลย
แต่ผลจากการสวด กลับทำให้ไฟไม่ไหม้รัง เอ้า!!งงกันไปใหญ่ ไอ้กระผมคนโง่เขลา ความรู้น้อย ด้อยปัญญา
หาความคิดไม่ได้ ก็เลยไม่รู้จะว่ายังไง กับคำว่า
   "ผมเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าปัจจุบันนี้ จะมีพระเกจิอาจารย์สักกี่ท่านที่หยั่งรู้ว่าหลักของการเกิดความศักดิ์สิทธิ์ ต้องเกิดมาจากอำนาจจิตก่อน? หรือถึงแม้ว่ารู้ แล้วจะมีสักกี่ท่านที่สามารถฝึกเช่นนั้นได้ ?"
   เพราะอะไรน่ะเหรอ เพราะกะแค่ลูกนกมันยังใช้คาถาจนตัวเองรอดจากพระเพลิงเสียได้ เฮ้อ!!มนุษย์ผู้ฉลาด
ขนาดจบปริญญาโท จะพูดอะไรไยไม่ศึกษาให้ถ่องแท้ เพราะคำๆนี้ ไอ้ที่ผมยกมาน่ะ คนเขียนจะปฏิเสธไม่ได้เลยว่า
เขียนเพื่ออวดตัวเองว่าข้ารู้จริง ว่า "หลักของการเกิดความศักดิ์สิทธิ์ ต้องเกิดมาจากอำนาจจิตก่อน" เอ้อหนอคนเรา ระดับการศึกษาสูงชั่งไม่ได้ทำให้จิตใจสูงขึ้นตามไปด้วยเลย
   เอาละ ทีนี้อยากรู้ไหมว่า ทำไมเจ้าลูกนกตัวนั้นสวดคาถานี้แล้วเกิดความศักดิ์สิทธิ์ แล้วน้ำพระพุทธมนต์
ที่พระไปสวดกันตามบ้านศักดิ์สิทธิ์ไหมยังไง ถ้าอยากรู้ก็ลองไปใช้ปัญญาศึกษามาขอรับ หรือไม่ ก็ถามมาขอรับ
สำหรับคนดีถามเพื่อความรู้ ข้าน้อยผู้ด้อยความรู้ จะใช้กำลังทั้งหมดเท่าที่มีไปเสาะหามาตอบให้อย่างเต็มกำลังความสามารถ
แต่หากถามไถ่มาภาษาพาล มีคำเหน็บแนมแฝงภายใน ข้าพเจ้าผู้โฉดเขลา ก็คงจะตอบเข้าไปเช่นที่ถามมาขอรับ

สาธุ
    ท่าน Kanya ครับ ท่านและพวกพ้องจะว่าจะด่าอะไรผม ก็เชิญตามสบายเลยนะครับและถ้าแน่จริง ช่วยกรุณาด่าผมให้ชัด ๆ ลงในหน้ากระดานนี้ด้วยนะครับ จะเป็นพระคุณอย่างสูง แต่ถ้าจะกรุณาเพื่อเป็นการประหยัดเวลาและเนื้อที่ ก็ไม่จำเป็นต้องยกมหาสมุทรอะไรทั้ง 7 สายมาเพื่ออวดภูมิปัญญาท่านหรอกครับ ด่าตรง ๆได้เลยครับตามที่นิสัยสันดานท่านได้รับการอบรมจากบุพการีและครูบาอาจารย์มาตั้งแต่เล็ก เพราะต่อไปนี้ ขอให้สบายใจว่าผมจะไม่โต้ตอบคนอย่างท่านอีก ผมเห็นใจในปูมหลังของท่านครับ ถือว่าผมยอมเปลืองตัวให้ท่านและพวกพ้องท่านด่าเพื่อเป็นทานก็แล้วกัน

ออฟไลน์ Kanya

  • จตุตถะ
  • ****
  • กระทู้: 99
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: พิธีปลุกเสกสร้างความขลังได้จริงหรือ?
« ตอบกลับ #13 เมื่อ: 31 ก.ค. 2552, 06:29:31 »
     ผมอยากถามถึงความรู้สึกของท่านสมาชิกสักหน่อยนะครับ เพราะถ้าไม่ถามบางท่านอาจเข้าใจผิด หรืออาจเข้าใจผิดมานานแล้วก็เป็นได้ คือผมจะถามว่า...
     ท่านเข้าใจว่าวัตถุมงคลเมื่อเข้าพิธีแล้ว จะต้องศักดิ์สิทธิ์เสมอไปอย่างนั้นหรือเปล่า ?
     ผมว่ามีหลายท่านทีเดียวที่มีความเข้าใจว่าวัตถุมงคลเมื่อนำเข้าพิธีปลุกเสกหรือพิธีพุทธาภิเษกแล้ว จะต้องมีความศักิด์สิทธิ์เสมอไป ที่เห็นได้ง่าย ๆ เลยก็คือทุกวันนี้ เวลาที่มีการจัดพิธีพุทธาภิเษก ก็จะมีคนไปขอเช่าวัตถุมงคลกันเป็นจำนวนมาก รวมไปถึงมีผู้ที่นำเอาวัตถุมงคลของตัวเองที่เก็บไว้ ไปฝากเข้าพิธีด้วยโดยเชื่อว่านั่นจะเป็นการเพิ่มพลังความศักดิ์สิทธิ์หรือพุทธคุณให้กับวัตถุมงคลยิ่ง ๆ ขึ้น
     ก่อนอื่น ผมคงต้องขอออกตัวก่อนนะครับว่าผมไม่ได้มีเจตนาพูดว่าการปลุกเสกวัตถุมงคลเดี๋ยวนี้ไม่ศักดิ์สิทธิ์ แต่ความหมายของผมคือ " การปลุกเสกวัตถุมงคลเดี๋ยวนี้ หาได้ศักดิ์สิทธิ์ไปทุกพิธี " ทั้งนี้ เพราะการสร้างและปลุกเสกวัตถุมงคลให้ศักดิ์สิทธิ์นั้น มันต้องมีองค์ประกอบหลาย ๆ อย่าง อาทิเช่น การคำนวณหาฤกษ์พิธี การจัดพิธีกรรมได้อย่างถูกต้องตามตำรา พลังจิตของผู้สร้าง ตลอดจนเคล็ดลับต่าง ๆ ตามที่ตำราบ่งบอกเอาไว้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะขาดเสียมิได้เลยสำหรับการสร้างและปลุกเสกวัตถุมงคล
    แต่คนทุกวันนี้ มีความเข้าใจผิดกันมากว่าการสร้างและปลุกเสกวัตถุมงคลที่เกิดความศักดิ์สิทธิ์ได้นั้น ล้วนเกิดจาก " คาถาอาคม " ผมว่านั่นเป็นความเข้าใจที่ผิด
    หลายคนมักจะเข้าใจอย่างนี้ ซึ่งคงโทษกันไม่ได้ เพราะตำราการสร้างวัตถุมงคลต่าง ๆ เมื่อสร้างเสร็จแล้ว ก็จะต้องมีคาถาอาคมสำหรับการปลุกเสกเอาไว้เสมอ รวมไปถึงคาถาที่ใช้ในการท่องบ่นภาวนาที่ว่ามีอานุภาพทางเมตตามหานิยม แคล้วคลาด คงกระพัน มหาอุดและโชคลาภ เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงย่อมที่จะทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้ว่าคุณวิเศษต่าง ๆ ที่มีนั้น เกิดขึ้นได้เพราะคาถาอาคม
     หากจะว่ากันตรง ๆ ตามหลักการในด้านไสยศาสตร์หรือการสร้างวัตถุมงคลต่าง ๆ นั้น คาถามีส่วนทำให้วัตถุมงคลเกิดความศักดิ์สิทธิ์ได้ก็จริง แต่คาถาจะทำให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาไม่ได้อย่างเด็ดขาดหากปราศจากอำนาจของพลังจิต พูดง่าย ๆ ก็คือว่าคาถาจะเกิดความศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาได้ก็ต่อเมื่อผู้ท่องหรือบริ กรรมคาถานั้น มีพื้นฐานอำนาจจิต โดยเป็นผู้ที่ผ่านการฝึกฝนปฏิบัติสมาธิวิปัสนากรรมฐานจนได้ฌาณ ญาณสมาบัติหรือกสิณอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือถ้าพูดกันในด้านของการปฏิบัติก็หมายความว่า ผู้นั้นต้องมี " อภิญ ญา " เพราะหากไม่เป็นเช่นนั้น ต่อให้ท่องคาถาจนเหนียงยาน ความศักดิ์สิทธิ์ก็จะไม่มีวันบังเกิดขึ้นได้อย่างเด็ดขาดและแน่นอนที่สุดด้วย
     ทั้งนี้ หากว่าคาถาอาคมสามารถทำให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์ได้จริง ถ้าเช่นนั้น คนเราทุกคนก็สามารถเป็นผู้วิเศษได้หมด เพียงแค่ไปขอเรียนคาถาจากใครก็ได้สักบทสองบท หรือไม่ก็หาเอาจากในเว็บเรานี่แหละ...
แล้วถามว่าความศักดิ์สิทธิ์จะบังเกิดได้จริงเหรอ ?
     สมัยก่อนนั้น ในการเรียนคาถาอาคมหรือวิชาไสยศาสตร์  ก่อนที่อาจารย์จะถ่ายทอดให้แก่ศิษย์นั้น ท่านจะให้ไปหัดฝึกพิ้นฐานอำนาจจิตเสียก่อน หรือไม่ก็เรียนภาคทฤษฎีและฝึกปฎิบัติไปพร้อม ๆ กัน  แต่โดยธรรมเนียมแล้ว เขาจะต้องเริ่มฝึกพิ้นฐานอำนาจจิตเสียก่อน เปรียบเสมือนการขึ้นต้นไม้ ก็จะต้องปีนขึ้นไปจากทางด้านโคนต้นไม้ก่อนทั้งสิ้น หาใช่โดยการเรียนลัดด้วยการขึ้นต้นไม้ทางยอดโดยการกระโดดข้ามไปเรียนคาถาก่อนเลยแต่อย่างใดไม่ โดยไม่มีการฝึกพื้นฐานทางอำนาจจิตให้แข็งแกร่งเสียก่อน ซึ่งเมื่อฝึกไม่ถูกวิธี ขาดความอุตสาหะ ไร้ซึ่งบารมี เมื่อนั้นพื้นฐานทางอำนาจจิตก็จะไม่บังเกิดขึ้นด้วย...
     ผมเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าปัจจุบันนี้ จะมีพระเกจิอาจารย์สักกี่ท่านที่หยั่งรู้ว่าหลักของการเกิดความศักดิ์สิทธิ์ ต้องเกิดมาจากอำนาจจิตก่อน? หรือถึงแม้ว่ารู้ แล้วจะมีสักกี่ท่านที่สามารถฝึกเช่นนั้นได้ ? ด้วยเหตุนี้แหละครับ ผมจึงคิดว่าการปลุกเสกวัตถุมงคลสมัยนี้ หาใช่มีความศักดิ์สิทธิ์ไปเสียทุกพิธี ทั้งนี้ เพราะความศักดิ์สิทธิ์ มิได้อยู่ที่ตัวคาถา หากแต่อยู่ที่พลังจิตต่างหากครับ แล้วพวกท่านสมาชิกมีความคิดเห็นอย่างไรบ้างครับ ?
***********************
    สาระประโยชน์อันใดที่เกิดจากข้อเขียนอันเป็นข้อคิดนี้ ข้าพเจ้าขอมอบอุทิศคุณความดีและกุศลบุญทั้งหลายแด่รูบาอาจารย์และเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายทั้งในอดีตชาติและปัจจุบันชาติ.....
สุวัชัย สมไพบูลย์   

 หากจะบอกว่าความขลังของวัตถุมงคลเกิดจากอะไร ก่อนอื่นขอพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับวัตถุมงคลทางศาสนาพุทธก่อน
ครั้งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพิ่งตรัสรู้ มีพ่อค้าม้า 2 พี่น้องคือตปุสสะและภัลลิกะ ได้เข้าไปเฝ้าและเกิดการเลื่อมใส
ถึงพระพุทธ พระธรรมว่าเป็นสรณะ นับเป็น เทววาจิกอุบาสก (อ่านว่า ทะเววาจิกะอุบาสก) แล้วจึงทูลขอสิ่งที่เป็น
ตัวแทนองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้เป็นที่ระลึก ครั้งนั้น พระองค์ทรงลูบพระเศียรมีเส้นพระเกศาติดพระหัตถ์มา
จึงทรงมอบเส้นพระเกศาให้แก่สองพี่น้อง(ท่านคิดว่าเส้นพระเกศานี้ศักดิ์สิทธิ์ไหม เพราะองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ปลุกเสก)
   ครั้นต่อมา เมื่อมีภิกษุสาวกเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก เมื่อพระอริยะสาวกนิพพานลง พระองค์ก็ให้สร้างสถูป
เก็บอัฏฐิธาตุนั้นไว้เพื่อให้ผู้คนกราบไว้ แม้เมื่อพระอานนท์นิพพาน ก็มีผู้มาแย่งเอาพระธาตุไปไว้บูชา และแม้บริขารของ
องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ได้บรรจุเป็นบริโภคเจดีย์ โดยไม่ต้องปลุกเสก
   ทีนี้มาพูดกันเรื่องความขลังอีกส่วนหนึ่ง คือการทำน้ำมนต์ในงานบุญต่างๆ ความขลังของการทำน้ำมนต์
หรือน้ำพระพุทธมนต์มาจากไหน สมมุติว่ามาจากการสวดมนต์เพียงอย่างเดียว ถ้าแบบนั้นคงไม่ต้องนิมนต์พระไปสวด
ให้ชาวบ้านสวดก็คงได้ แล้วถ้าจะต้องให้พระที่พลังจิตไปสวด ถ้าแบบนั้นทำบุญนิมนต์พระกัน100บ้าน
จะมีสักบ้านไหมที่จะได้พระที่มีพลังจิต และถ้าได้พระที่ไม่มีพลังจิต ไม่สำเร็จฌาณไปสวด น้ำมนต์จะไม่ขลัง
ไม่ศักดิ์สิทธิ์ใช่ไหม ถ้าเป็นเช่นนั้น ต่อไปคงไม่ต้องเสาะหาแต่พระที่สำเร็จฌาณไปประกอบพิธีทำบุญบ้านกันหรือ
แล้วพระที่ได้ฌาณ ท่านก็บอกไม่ได้อีก ว่าท่านได้ฌาณหรือไม่ เพราะผิดพระวินัย เอาละสิ ยุ่งกันไปใหญ่แล้ว
   เอาละ มาดูกันอีกหน่อย สำหรับคนที่เคยบวช เคยสวดไหมคับ คาถากันไฟน่ะ อัตถิโลเก สีลคุโณ....
รู้ไหมบทนี้น่ะ ผู้ที่สวดครั้งแรก เป็นแค่ลูกนกตัวหนึ่ง อย่าว่าแต่ฌาณเลยนะขอรับ เราแค่เฉียดสมาธิยังไม่มีเลย
แต่ผลจากการสวด กลับทำให้ไฟไม่ไหม้รัง เอ้า!!งงกันไปใหญ่ ไอ้กระผมคนโง่เขลา ความรู้น้อย ด้อยปัญญา
หาความคิดไม่ได้ ก็เลยไม่รู้จะว่ายังไง กับคำว่า
   "ผมเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าปัจจุบันนี้ จะมีพระเกจิอาจารย์สักกี่ท่านที่หยั่งรู้ว่าหลักของการเกิดความศักดิ์สิทธิ์ ต้องเกิดมาจากอำนาจจิตก่อน? หรือถึงแม้ว่ารู้ แล้วจะมีสักกี่ท่านที่สามารถฝึกเช่นนั้นได้ ?"
   เพราะอะไรน่ะเหรอ เพราะกะแค่ลูกนกมันยังใช้คาถาจนตัวเองรอดจากพระเพลิงเสียได้ เฮ้อ!!มนุษย์ผู้ฉลาด
ขนาดจบปริญญาโท จะพูดอะไรไยไม่ศึกษาให้ถ่องแท้ เพราะคำๆนี้ ไอ้ที่ผมยกมาน่ะ คนเขียนจะปฏิเสธไม่ได้เลยว่า
เขียนเพื่ออวดตัวเองว่าข้ารู้จริง ว่า "หลักของการเกิดความศักดิ์สิทธิ์ ต้องเกิดมาจากอำนาจจิตก่อน" เอ้อหนอคนเรา ระดับการศึกษาสูงชั่งไม่ได้ทำให้จิตใจสูงขึ้นตามไปด้วยเลย
   เอาละ ทีนี้อยากรู้ไหมว่า ทำไมเจ้าลูกนกตัวนั้นสวดคาถานี้แล้วเกิดความศักดิ์สิทธิ์ แล้วน้ำพระพุทธมนต์
ที่พระไปสวดกันตามบ้านศักดิ์สิทธิ์ไหมยังไง ถ้าอยากรู้ก็ลองไปใช้ปัญญาศึกษามาขอรับ หรือไม่ ก็ถามมาขอรับ
สำหรับคนดีถามเพื่อความรู้ ข้าน้อยผู้ด้อยความรู้ จะใช้กำลังทั้งหมดเท่าที่มีไปเสาะหามาตอบให้อย่างเต็มกำลังความสามารถ
แต่หากถามไถ่มาภาษาพาล มีคำเหน็บแนมแฝงภายใน ข้าพเจ้าผู้โฉดเขลา ก็คงจะตอบเข้าไปเช่นที่ถามมาขอรับ

สาธุ
    ท่าน Kanya ครับ ท่านและพวกพ้องจะว่าจะด่าอะไรผม ก็เชิญตามสบายเลยนะครับและถ้าแน่จริง ช่วยกรุณาด่าผมให้ชัด ๆ ลงในหน้ากระดานนี้ด้วยนะครับ จะเป็นพระคุณอย่างสูง แต่ถ้าจะกรุณาเพื่อเป็นการประหยัดเวลาและเนื้อที่ ก็ไม่จำเป็นต้องยกมหาสมุทรอะไรทั้ง 7 สายมาเพื่ออวดภูมิปัญญาท่านหรอกครับ ด่าตรง ๆได้เลยครับตามที่นิสัยสันดานท่านได้รับการอบรมจากบุพการีและครูบาอาจารย์มาตั้งแต่เล็ก เพราะต่อไปนี้ ขอให้สบายใจว่าผมจะไม่โต้ตอบคนอย่างท่านอีก ผมเห็นใจในปูมหลังของท่านครับ ถือว่าผมยอมเปลืองตัวให้ท่านและพวกพ้องท่านด่าเพื่อเป็นทานก็แล้วกัน
โอ้โหห  เสียชื่อชาวชมพูฟ้าจังง  เฮ้อเศร้าขอรับ
ผมด่าแล้วเหรอ   :075: ถ้าผมจะด่า ผมด่าแต่พวกหน้าตัวเมียเรียกพี่ เพราะอะไรหว่า  :058:
แต่ที่ท่านอาจารย์(พิเศษ)สุวัจชัยด่าน่ะขอรับ ท่านด่าบรรดาอาจารย์ทั้งหลาย โดยที่ท่านไม่ด้องศึกษาให้ถ่องแท้
ผมด่า เพราะเรื่องมันควร(ถ้าด่านะขอรับ) แต่ท่านอาจารย์(พิเศษ)สุวัจชัยด่าน่ะขอรับ ท่านด่าเพราะ.....
คือบุพพการีและอาจารย์ผมสอนมาดี ไม่ให้ก้าวก่ายถึงบุพพการีผู้ใด เพราะบุพพการีของท่านอาจารย์(พิเศษ)สุวัจชัย
น่าจะตั้งใจอบรมท่านแล้วแต่ท่านไม่ฟังเอง
เอาเป็นว่าที่ท่านอาจารย์(พิเศษ)สุวัจชัยด่าน่ะขอรับ ท่านด่าเพราะความเขลาของท่านเองขอรับ :054:
ที่ท่านด่าเขา ดูมันสุภาพดีนะขอรับ ดูว่าเกจิอาจารย์เหล่านั้นผิด แต่หารู้ไม่ว่าคนเขียนแอบอวดภูมิแบบโง่
เสียสถาบันจัง :054:เรื่องมานน่าเศร้า

kanya สาธุ

ออฟไลน์ ชลาพุชะ

  • เราอาจไม่รู้มากนัก แต่เรารู้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควร
  • อัฏฐมะ
  • ***
  • กระทู้: 1526
  • เพศ: ชาย
  • ที่นี่คือเว็บวัดบางพระ เราก็ศิษย์วัดบางพระ
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: พิธีปลุกเสกสร้างความขลังได้จริงหรือ?
« ตอบกลับ #14 เมื่อ: 31 ก.ค. 2552, 07:42:32 »
ให้ผู้รู้รู้เค้า ถกกันไปกระผมอ่านแล้วตาลายเลยครับ ยาวต่อยาวผมอ่านแล้วเข้าใจได้ยากตามประสา กระผมก็ขอบคุณครับ ยาวได้ใจเลย

ออฟไลน์ big tod

  • อัฏฐมะ
  • ***
  • กระทู้: 792
  • เพศ: ชาย
  • ...เทพพฤหัส...
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: พิธีปลุกเสกสร้างความขลังได้จริงหรือ?
« ตอบกลับ #15 เมื่อ: 31 ก.ค. 2552, 10:52:40 »
การปลุกเสกวัตถุมงคล เคยฟังและอ่านจากครูบาอาจารย์หลายท่านกล่าวไว้..
    หลวงพ่อคูณ ท่านเคยกล่าวไว้ว่าการปลุกเสก 1 วันกับ 1 นาทีมีค่าเท่ากันถ้าจิตไม่นิ่งปลุกเสกทั้งวันของก็ไม่ขลัง ถ้าจิตนิง 1 นาทีก็ขลังได้..
    หลวงปู่แย้ม วัดสามง่าม เคยกล่าวไว้ตอนช่วงจตุคามฟีเวอร์ ว่าพระเกจิที่จะทำพิธีปลุกเสกวัตถุมงคลได้ควรจะมีพรรษาสัก 50-60 พรรษาขึ้น..
    อาจารย์อีกท่านเคยเล่าให้ฟังว่า เคยเฝ้าสังเกตุหลวงพ่อเปิ่นท่านเวลาปลุกเสกวัตถุมงคลต่างๆบนกุฎิปากท่านก็คุยไปมือท่านจะจับ คนวัตถุมงคลต่างๆไป..
เมื่อคุยจบท่านก็จะบอกว่าเสร็จแล้วใช้ได้แล้ว...แสดงถึงจิตที่นิ่งของหลวงพ่อไม่ต้องนั่งสมาธิหลับตาก็สามารถปลุกเสกวัตถุมงคลได้... :054:

ออฟไลน์ chatsmm

  • อัฏฐมะ
  • ***
  • กระทู้: 741
  • เพศ: ชาย
    • ดูรายละเอียด
    • อีเมล
ตอบ: พิธีปลุกเสกสร้างความขลังได้จริงหรือ?
« ตอบกลับ #16 เมื่อ: 31 ก.ค. 2552, 12:12:36 »
การปลุกเสกวัตถุมงคล เคยฟังและอ่านจากครูบาอาจารย์หลายท่านกล่าวไว้..
    หลวงพ่อคูณ ท่านเคยกล่าวไว้ว่าการปลุกเสก 1 วันกับ 1 นาทีมีค่าเท่ากันถ้าจิตไม่นิ่งปลุกเสกทั้งวันของก็ไม่ขลัง ถ้าจิตนิง 1 นาทีก็ขลังได้..
    หลวงปู่แย้ม วัดสามง่าม เคยกล่าวไว้ตอนช่วงจตุคามฟีเวอร์ ว่าพระเกจิที่จะทำพิธีปลุกเสกวัตถุมงคลได้ควรจะมีพรรษาสัก 50-60 พรรษาขึ้น..
    อาจารย์อีกท่านเคยเล่าให้ฟังว่า เคยเฝ้าสังเกตุหลวงพ่อเปิ่นท่านเวลาปลุกเสกวัตถุมงคลต่างๆบนกุฎิปากท่านก็คุยไปมือท่านจะจับ คนวัตถุมงคลต่างๆไป..
เมื่อคุยจบท่านก็จะบอกว่าเสร็จแล้วใช้ได้แล้ว...แสดงถึงจิตที่นิ่งของหลวงพ่อไม่ต้องนั่งสมาธิหลับตาก็สามารถปลุกเสกวัตถุมงคลได้... :054:

ขอบคุณครับ ......ท่าน Bigtod
ตัวอย่างที่ดี มีค่ากว่าสอน

ออฟไลน์ Gearmour

  • ที่ปรึกษา
  • *****
  • กระทู้: 1204
  • เพศ: ชาย
    • ดูรายละเอียด
    • ลานพิศวง
ตอบ: พิธีปลุกเสกสร้างความขลังได้จริงหรือ?
« ตอบกลับ #17 เมื่อ: 31 ก.ค. 2552, 12:37:50 »
รู้ธรรมอย่าขวางโลก รู้โลกอย่าขวางธรรม

ออฟไลน์ Jesus

  • สัตตมะ
  • **
  • กระทู้: 109
  • เพศ: ชาย
  • ผมเป็นคนเดินช้าเเต่ผมไม่เคยเดินถอยหลัง
    • MSN Messenger - judas_66@hotmail.com
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: พิธีปลุกเสกสร้างความขลังได้จริงหรือ?
« ตอบกลับ #18 เมื่อ: 01 ส.ค. 2552, 11:42:40 »
กระทู้นี้นี้ดุเดือดดีเเฮะ เเต่ก้อต้องขอขอบคุณสำหรับความรู้นะครับ
I AM GRAPHIC DESIGNER

ออฟไลน์ อชิตะ

  • อัฏฐมะ
  • ***
  • กระทู้: 3218
  • เพศ: ชาย
    • MSN Messenger - aston_25@hotmail.com
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: พิธีปลุกเสกสร้างความขลังได้จริงหรือ?
« ตอบกลับ #19 เมื่อ: 01 ส.ค. 2552, 04:53:32 »
ผมว่าเป็นเรื่องเฉพาะบุคคลนะ ไม่มีรูปแบบตายตัว   บางเกจิอาจารย์ปลุกเสกแบบต้องประกอบพิธีเป็นเรื่องเป็นราว ประกอบด้วยฤกษ์ยามมงคล

บางเกจิอาจารย์ ปลุกเสกใต้ต้นไม้ก็ขลัง  หลวงพ่อยิด วัดหนองจอก ท่านปลุกเสกปลัดขิก ตรงไหน เวลาไหน ก็โดดให้นัวไปหมด

แต่ว่าโดยพื้นฐานแล้ว เลือกเฟ้นพระเกจิอาจารย์ที่มีศีลจารวัตร งดงามถูกกับจริตเราก็ดีครับ  ปรุงศรัทธาได้ง่ายดี

แต่เคยพบเจอนะครับ ของดี คนใช้พกแบบไม่เห็นคุณค่า ก็ยังคุ้มตัวได้  มาเกิดศรัทธาเพราะเจอประสบการณ์เข้ากันตัวก่อนก็เยอะนะครับ

ส่วนตัวผมเน้น ของดีไม่ต้องดัง ไม่ต้องโฆษณามากครับ  และต้องสัมผัสได้จริง




ออฟไลน์ yout

  • อัฏฐมะ
  • ***
  • กระทู้: 1742
  • เพศ: ชาย
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: พิธีปลุกเสกสร้างความขลังได้จริงหรือ?
« ตอบกลับ #20 เมื่อ: 01 ส.ค. 2552, 07:47:07 »
โกรธคือโง่ มโหคือบ้า ไม่โกรธดีกว่าจะไม่บ้า ไม่โง่ ธรรมจากพระพยอม วัดสวนแก้ว,,,,,,,,,,, :114: :090: :114:..........สาธุ

ออฟไลน์ ลูกชายพ่อสังวรณ์

  • สัตตมะ
  • **
  • กระทู้: 351
  • เพศ: ชาย
  • พุททังกันตัง
    • MSN Messenger - pom_146@hotmail.com
    • ดูรายละเอียด
    • อีเมล
ตอบ: พิธีปลุกเสกสร้างความขลังได้จริงหรือ?
« ตอบกลับ #21 เมื่อ: 02 ส.ค. 2552, 11:31:45 »
คาถาจะเกิดความศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาได้ก็ต่อเมื่อผู้ท่องหรือบริ กรรมคาถานั้น มีพื้นฐานอำนาจจิต โดยเป็นผู้ที่ผ่านการฝึกฝนปฏิบัตินั้นเห็นด้วยอย่างยิ่ง
การปลุกเสกวัตถุมงคล เคยฟังและอ่านจากครูบาอาจารย์หลายท่านกล่าวไว้..
    หลวงพ่อคูณ ท่านเคยกล่าวไว้ว่าการปลุกเสก 1 วันกับ 1 นาทีมีค่าเท่ากันถ้าจิตไม่นิ่งปลุกเสกทั้งวันของก็ไม่ขลัง ถ้าจิตนิง 1 นาทีก็ขลังได้..
    หลวงปู่แย้ม วัดสามง่าม เคยกล่าวไว้ตอนช่วงจตุคามฟีเวอร์ ว่าพระเกจิที่จะทำพิธีปลุกเสกวัตถุมงคลได้ควรจะมีพรรษาสัก 50-60 พรรษาขึ้น..
    อาจารย์อีกท่านเคยเล่าให้ฟังว่า เคยเฝ้าสังเกตุหลวงพ่อเปิ่นท่านเวลาปลุกเสกวัตถุมงคลต่างๆบนกุฎิปากท่านก็คุยไปมือท่านจะจับ คนวัตถุมงคลต่างๆไป..
เมื่อคุยจบท่านก็จะบอกว่าเสร็จแล้วใช้ได้แล้ว...แสดงถึงจิตที่นิ่งของหลวงพ่อไม่ต้องนั่งสมาธิหลับตาก็สามารถปลุกเสกวัตถุมงคลได้... :054:

ขอบคุณครับ ......ท่าน Bigtod

เรื่องจิตนี้สำคัญครั้งหนึ่งเคยถามอาจารย์ท่านนึงว่า
มีเพื่อนๆถามว่ายันต์อะไรที่ตีไม่แตก
ท่านก็ตอบว่าอยู่ที่ผู้ทำถ้าจิตถึงยันต์อะไรก็ตีไม่แตกทั้งนั้น
และก็เรื่องการเสกนั้นถ้าเราเดินอย่างถูกต้องตั้งอย่างถูกต้องตามสูตร
ก็เสกเพียงครั้งเดียวก็สามารถใช้ได้
ดังที่เรารู้กันว่าพระผู้ที่มีจิตที่สูงนั้นท่านก็เพียง อธิษฐานจิต ของสิ่งนั้นก็สามารถใช้ได้ทันที
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02 ส.ค. 2552, 11:33:30 โดย ลูกชายพ่อสังวรณ์ »
เกิด แก่ เจ็บ ตาย มันเป็นเรื่องธรรมดา
ยากดีมีจนก็แล้วแต่กรรมที่ทำมา