ผมอยากถามถึงความรู้สึกของท่านสมาชิกสักหน่อยนะครับ เพราะถ้าไม่ถามบางท่านอาจเข้าใจผิด หรืออาจเข้าใจผิดมานานแล้วก็เป็นได้ คือผมจะถามว่า...
ท่านเข้าใจว่าวัตถุมงคลเมื่อเข้าพิธีแล้ว จะต้องศักดิ์สิทธิ์เสมอไปอย่างนั้นหรือเปล่า ?
ผมว่ามีหลายท่านทีเดียวที่มีความเข้าใจว่าวัตถุมงคลเมื่อนำเข้าพิธีปลุกเสกหรือพิธีพุทธาภิเษกแล้ว จะต้องมีความศักิด์สิทธิ์เสมอไป ที่เห็นได้ง่าย ๆ เลยก็คือทุกวันนี้ เวลาที่มีการจัดพิธีพุทธาภิเษก ก็จะมีคนไปขอเช่าวัตถุมงคลกันเป็นจำนวนมาก รวมไปถึงมีผู้ที่นำเอาวัตถุมงคลของตัวเองที่เก็บไว้ ไปฝากเข้าพิธีด้วยโดยเชื่อว่านั่นจะเป็นการเพิ่มพลังความศักดิ์สิทธิ์หรือพุทธคุณให้กับวัตถุมงคลยิ่ง ๆ ขึ้น
ก่อนอื่น ผมคงต้องขอออกตัวก่อนนะครับว่าผมไม่ได้มีเจตนาพูดว่าการปลุกเสกวัตถุมงคลเดี๋ยวนี้ไม่ศักดิ์สิทธิ์ แต่ความหมายของผมคือ " การปลุกเสกวัตถุมงคลเดี๋ยวนี้ หาได้ศักดิ์สิทธิ์ไปทุกพิธี " ทั้งนี้ เพราะการสร้างและปลุกเสกวัตถุมงคลให้ศักดิ์สิทธิ์นั้น มันต้องมีองค์ประกอบหลาย ๆ อย่าง อาทิเช่น การคำนวณหาฤกษ์พิธี การจัดพิธีกรรมได้อย่างถูกต้องตามตำรา พลังจิตของผู้สร้าง ตลอดจนเคล็ดลับต่าง ๆ ตามที่ตำราบ่งบอกเอาไว้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะขาดเสียมิได้เลยสำหรับการสร้างและปลุกเสกวัตถุมงคล
แต่คนทุกวันนี้ มีความเข้าใจผิดกันมากว่าการสร้างและปลุกเสกวัตถุมงคลที่เกิดความศักดิ์สิทธิ์ได้นั้น ล้วนเกิดจาก " คาถาอาคม " ผมว่านั่นเป็นความเข้าใจที่ผิด
หลายคนมักจะเข้าใจอย่างนี้ ซึ่งคงโทษกันไม่ได้ เพราะตำราการสร้างวัตถุมงคลต่าง ๆ เมื่อสร้างเสร็จแล้ว ก็จะต้องมีคาถาอาคมสำหรับการปลุกเสกเอาไว้เสมอ รวมไปถึงคาถาที่ใช้ในการท่องบ่นภาวนาที่ว่ามีอานุภาพทางเมตตามหานิยม แคล้วคลาด คงกระพัน มหาอุดและโชคลาภ เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงย่อมที่จะทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้ว่าคุณวิเศษต่าง ๆ ที่มีนั้น เกิดขึ้นได้เพราะคาถาอาคม
หากจะว่ากันตรง ๆ ตามหลักการในด้านไสยศาสตร์หรือการสร้างวัตถุมงคลต่าง ๆ นั้น คาถามีส่วนทำให้วัตถุมงคลเกิดความศักดิ์สิทธิ์ได้ก็จริง แต่คาถาจะทำให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาไม่ได้อย่างเด็ดขาดหากปราศจากอำนาจของพลังจิต พูดง่าย ๆ ก็คือว่าคาถาจะเกิดความศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาได้ก็ต่อเมื่อผู้ท่องหรือบริ กรรมคาถานั้น มีพื้นฐานอำนาจจิต โดยเป็นผู้ที่ผ่านการฝึกฝนปฏิบัติสมาธิวิปัสนากรรมฐานจนได้ฌาณ ญาณสมาบัติหรือกสิณอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือถ้าพูดกันในด้านของการปฏิบัติก็หมายความว่า ผู้นั้นต้องมี " อภิญ ญา " เพราะหากไม่เป็นเช่นนั้น ต่อให้ท่องคาถาจนเหนียงยาน ความศักดิ์สิทธิ์ก็จะไม่มีวันบังเกิดขึ้นได้อย่างเด็ดขาดและแน่นอนที่สุดด้วย
ทั้งนี้ หากว่าคาถาอาคมสามารถทำให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์ได้จริง ถ้าเช่นนั้น คนเราทุกคนก็สามารถเป็นผู้วิเศษได้หมด เพียงแค่ไปขอเรียนคาถาจากใครก็ได้สักบทสองบท หรือไม่ก็หาเอาจากในเว็บเรานี่แหละ...
แล้วถามว่าความศักดิ์สิทธิ์จะบังเกิดได้จริงเหรอ ?
สมัยก่อนนั้น ในการเรียนคาถาอาคมหรือวิชาไสยศาสตร์ ก่อนที่อาจารย์จะถ่ายทอดให้แก่ศิษย์นั้น ท่านจะให้ไปหัดฝึกพิ้นฐานอำนาจจิตเสียก่อน หรือไม่ก็เรียนภาคทฤษฎีและฝึกปฎิบัติไปพร้อม ๆ กัน แต่โดยธรรมเนียมแล้ว เขาจะต้องเริ่มฝึกพิ้นฐานอำนาจจิตเสียก่อน เปรียบเสมือนการขึ้นต้นไม้ ก็จะต้องปีนขึ้นไปจากทางด้านโคนต้นไม้ก่อนทั้งสิ้น หาใช่โดยการเรียนลัดด้วยการขึ้นต้นไม้ทางยอดโดยการกระโดดข้ามไปเรียนคาถาก่อนเลยแต่อย่างใดไม่ โดยไม่มีการฝึกพื้นฐานทางอำนาจจิตให้แข็งแกร่งเสียก่อน ซึ่งเมื่อฝึกไม่ถูกวิธี ขาดความอุตสาหะ ไร้ซึ่งบารมี เมื่อนั้นพื้นฐานทางอำนาจจิตก็จะไม่บังเกิดขึ้นด้วย...
ผมเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าปัจจุบันนี้ จะมีพระเกจิอาจารย์สักกี่ท่านที่หยั่งรู้ว่าหลักของการเกิดความศักดิ์สิทธิ์ ต้องเกิดมาจากอำนาจจิตก่อน? หรือถึงแม้ว่ารู้ แล้วจะมีสักกี่ท่านที่สามารถฝึกเช่นนั้นได้ ? ด้วยเหตุนี้แหละครับ ผมจึงคิดว่าการปลุกเสกวัตถุมงคลสมัยนี้ หาใช่มีความศักดิ์สิทธิ์ไปเสียทุกพิธี ทั้งนี้ เพราะความศักดิ์สิทธิ์ มิได้อยู่ที่ตัวคาถา หากแต่อยู่ที่พลังจิตต่างหากครับ แล้วพวกท่านสมาชิกมีความคิดเห็นอย่างไรบ้างครับ ?
***********************
สาระประโยชน์อันใดที่เกิดจากข้อเขียนอันเป็นข้อคิดนี้ ข้าพเจ้าขอมอบอุทิศคุณความดีและกุศลบุญทั้งหลายแด่รูบาอาจารย์และเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายทั้งในอดีตชาติและปัจจุบันชาติ.....
สุวัชัย สมไพบูลย์
หากจะบอกว่าความขลังของวัตถุมงคลเกิดจากอะไร ก่อนอื่นขอพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับวัตถุมงคลทางศาสนาพุทธก่อน
ครั้งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพิ่งตรัสรู้ มีพ่อค้าม้า 2 พี่น้องคือตปุสสะและภัลลิกะ ได้เข้าไปเฝ้าและเกิดการเลื่อมใส
ถึงพระพุทธ พระธรรมว่าเป็นสรณะ นับเป็น เทววาจิกอุบาสก (อ่านว่า ทะเววาจิกะอุบาสก) แล้วจึงทูลขอสิ่งที่เป็น
ตัวแทนองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้เป็นที่ระลึก ครั้งนั้น พระองค์ทรงลูบพระเศียรมีเส้นพระเกศาติดพระหัตถ์มา
จึงทรงมอบเส้นพระเกศาให้แก่สองพี่น้อง(ท่านคิดว่าเส้นพระเกศานี้ศักดิ์สิทธิ์ไหม เพราะองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ปลุกเสก)
ครั้นต่อมา เมื่อมีภิกษุสาวกเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก เมื่อพระอริยะสาวกนิพพานลง พระองค์ก็ให้สร้างสถูป
เก็บอัฏฐิธาตุนั้นไว้เพื่อให้ผู้คนกราบไว้ แม้เมื่อพระอานนท์นิพพาน ก็มีผู้มาแย่งเอาพระธาตุไปไว้บูชา และแม้บริขารของ
องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ได้บรรจุเป็นบริโภคเจดีย์ โดยไม่ต้องปลุกเสก
ทีนี้มาพูดกันเรื่องความขลังอีกส่วนหนึ่ง คือการทำน้ำมนต์ในงานบุญต่างๆ ความขลังของการทำน้ำมนต์
หรือน้ำพระพุทธมนต์มาจากไหน สมมุติว่ามาจากการสวดมนต์เพียงอย่างเดียว ถ้าแบบนั้นคงไม่ต้องนิมนต์พระไปสวด
ให้ชาวบ้านสวดก็คงได้ แล้วถ้าจะต้องให้พระที่พลังจิตไปสวด ถ้าแบบนั้นทำบุญนิมนต์พระกัน100บ้าน
จะมีสักบ้านไหมที่จะได้พระที่มีพลังจิต และถ้าได้พระที่ไม่มีพลังจิต ไม่สำเร็จฌาณไปสวด น้ำมนต์จะไม่ขลัง
ไม่ศักดิ์สิทธิ์ใช่ไหม ถ้าเป็นเช่นนั้น ต่อไปคงไม่ต้องเสาะหาแต่พระที่สำเร็จฌาณไปประกอบพิธีทำบุญบ้านกันหรือ
แล้วพระที่ได้ฌาณ ท่านก็บอกไม่ได้อีก ว่าท่านได้ฌาณหรือไม่ เพราะผิดพระวินัย เอาละสิ ยุ่งกันไปใหญ่แล้ว
เอาละ มาดูกันอีกหน่อย สำหรับคนที่เคยบวช เคยสวดไหมคับ คาถากันไฟน่ะ อัตถิโลเก สีลคุโณ....
รู้ไหมบทนี้น่ะ ผู้ที่สวดครั้งแรก เป็นแค่ลูกนกตัวหนึ่ง อย่าว่าแต่ฌาณเลยนะขอรับ เราแค่เฉียดสมาธิยังไม่มีเลย
แต่ผลจากการสวด กลับทำให้ไฟไม่ไหม้รัง เอ้า!!งงกันไปใหญ่ ไอ้กระผมคนโง่เขลา ความรู้น้อย ด้อยปัญญา
หาความคิดไม่ได้ ก็เลยไม่รู้จะว่ายังไง กับคำว่า
"ผมเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าปัจจุบันนี้ จะมีพระเกจิอาจารย์สักกี่ท่านที่หยั่งรู้ว่าหลักของการเกิดความศักดิ์สิทธิ์ ต้องเกิดมาจากอำนาจจิตก่อน? หรือถึงแม้ว่ารู้ แล้วจะมีสักกี่ท่านที่สามารถฝึกเช่นนั้นได้ ?" เพราะอะไรน่ะเหรอ เพราะกะแค่ลูกนกมันยังใช้คาถาจนตัวเองรอดจากพระเพลิงเสียได้ เฮ้อ!!มนุษย์ผู้ฉลาด
ขนาดจบปริญญาโท จะพูดอะไรไยไม่ศึกษาให้ถ่องแท้ เพราะคำๆนี้ ไอ้ที่ผมยกมาน่ะ คนเขียนจะปฏิเสธไม่ได้เลยว่า
เขียนเพื่ออวดตัวเองว่าข้ารู้จริง ว่า "
หลักของการเกิดความศักดิ์สิทธิ์ ต้องเกิดมาจากอำนาจจิตก่อน" เอ้อหนอคนเรา ระดับการศึกษาสูงชั่งไม่ได้ทำให้จิตใจสูงขึ้นตามไปด้วยเลย
เอาละ ทีนี้อยากรู้ไหมว่า ทำไมเจ้าลูกนกตัวนั้นสวดคาถานี้แล้วเกิดความศักดิ์สิทธิ์ แล้วน้ำพระพุทธมนต์
ที่พระไปสวดกันตามบ้านศักดิ์สิทธิ์ไหมยังไง ถ้าอยากรู้ก็ลองไปใช้ปัญญาศึกษามาขอรับ หรือไม่ ก็ถามมาขอรับ
สำหรับคนดีถามเพื่อความรู้ ข้าน้อยผู้ด้อยความรู้ จะใช้กำลังทั้งหมดเท่าที่มีไปเสาะหามาตอบให้อย่างเต็มกำลังความสามารถ
แต่หากถามไถ่มาภาษาพาล มีคำเหน็บแนมแฝงภายใน ข้าพเจ้าผู้โฉดเขลา ก็คงจะตอบเข้าไปเช่นที่ถามมาขอรับ
สาธุ