๐.โสฬสญาณ (ญาณ ๑๖).๐
เมื่อเราปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน จิตของเราย่อมเดินไปสู่องค์ญาณ คือตัวรู้ จากของหยาบไปสู่ของละเอียด จากภายนอกเข้าสู่ภายใน
เป็นไปตามลำดับชั้น กำลังสติ สมาธิ และปัญญา ซึ่งสิ่งที่เข้าไปรู้นั้น อยู่ที่กายและจิตของเรา
๑.นามรูปปริจเฉทญาณ กำหนดรูปนามให้แยกออกจากกัน
๒.ปัจจยปริคคหญาณ ปัญญารู้เหตุและผลของรูปนาม
๓.สัมมสนญาณ ปัญญาที่พิจารณารูปนามเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
๔.อุทยัพพยญาณ ปัญญาที่พิจารณาเห็นการเกิดดับ ของรูปนาม
๕.ภังคญาณ ปัญญาที่พิจารณาเห็นเฉพาะความดับไปของรูปนามฝ่ายเดียว
๖.ภยญาณ ปัญญาที่พิจารณาเห็นรูปนามเป็นสิ่งน่ากลัว
๗.อาทีนวญาณ ปัญญาทีพิจารณาเห็นทุกข์เห็นโทษของรูปนาม
๘.นิพพิทาญาณ ปัญญาที่พิจารณาเห็นทุกข์เห็นโทษของรูปนาม แล้วเกิดความเบื่อหน่าย
๙.มุญจิตุกามยตาญาณ ปัญญาที่พิจารณาเห็นทุกข์เห็นโทษของรูปนามแล้วเกิดความเบื่อหน่าย แล้วอยากหลุดอยากพ้นจากรูปนาม
๑๐.ปฏิสังขาญาณ ปัญญาที่ย้อนกลับไปพิจารณาพระไตรลักษณ์ แล้วเกิดความตั้งใจจริง ปฏิบัติจริง
๑๑.สังขารุเปกขาญาณ ปัญญาที่วางเฉยในรูปนาม
๑๒.สัจจานุโลมิกญาณ หรือ อนุโลมญาณ ปัญญาที่พิจารณาเห็นอริยสัจ ๔ ได้ชัดเจนแจ่มแจ้ง
๑๓.โคตรภูญาณ ปัญญาที่ทิ้งรูปนาม ยึดนิพพานเป็นอารมณ์
๑๔.มัคคญาณ ปัญญาที่ละกิเลสได้เป็นสมุจเฉทประหาน มีนิพพานเป็นอารมณ์
๑๕.ผลญาณ เป็นผลของมรรค มีนิพพานเป็นอารมณ์
๑๖.ปัจจเวกขณญาณ ปัญญาที่ย้อนกลับไปพิจารณากิเลสที่ละได้ ละไม่ได้ คือ มรรค ผล นิพพาน แล
ซึ่งการปฏิบัติส่วนใหญ่แล้ว ถ้าทำกันจริง ไม่ทอดทิ้งธุระ ก็จะผ่านอารมณ์ ตัวรู้เหล่านี้ แต่เป็นเพียงแค่เห็นและแค่ผ่าน
ตั้งอยู่ไม่นานก็หายไป สิ่งที่ยากก็คือการทรงไว้ในอารมณ์ตัวรู้ทั้งหลายเหล่านี้..ผ่าน เห็น รู้ และต้องเข้าไปอยู่ในตัวรู้เหล่านั้น
ซึ่งเป็นการทำได้ยาก กว่าการเข้าไปรู้เข้าไปเห็น เรียกว่าเห็นกระแสพระนิพพาน แต่ยังไม่ได้เข้าไปอยู่ในกระแสพระนิพพาน....
ซึ่งต้องทรงไว้และปฏิบัติต่อไปเพื่อให้เข้าสู่กระแสพระนิพพาน " วิริเยนะ ทุกขะมะเจติ...บุคคลล่วงทุกข์ได้เพราะความเพียร "