สมัยที่บวชใหม่ๆ....
ได้ศึกษาพระธรรมวินัยเพราะมีใจศรัทธาในพระพุทธศาสนา
อยากจะเห็นวงการศาสนามีความเจริญก้าวหน้าและมีภาพที่ดี
และได้มีโอกาศเข้าไปทำงานเพื่อศาสนาเป็นพระวินยาธิการ
ช่วยเหลืองานของวงการคณะสงฆ์ดูแลเรื่องความประพฤติของพระ
ในเขตปกครองคณะสงฆ์จังหวัดสุราษฎร์ธานีร่วมกับพระครูสุวิมลสิริธรรม
ซึ่งมีหน้าที่ประจำคือเมื่อมีพระหรือโยมรายงานมาว่ามีพระประพฤติตัวไม่เหมาะสม
ก็ต้องออกไปตรวจสอบ ว่ากล่าว ตักเตือน ถ้าผิดวินัยรุนแรงถึงขั้นปาราชิกก็จับสึก
หรือบางครั้งทำผิดกฏหมายบ้านเมืองที่มีโทษถึงจำคุกก็ต้องจับสึกส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจ
ซึ่งบางครั้งเมื่อเราไปตรวจก็มีการขัดขืนและต่อสู้ จึงมีการลงไม้ลงมือเพื่อให้อยู่ในความสงบ
โดยอาศัยประสพการณ์ของการนักกีฬาสมัครเล่นและอาชีพ มวยไทย มวยสากล มวยปล้ำ ยูโด
ศิลปะการต่อสู้ที่เคยได้ร่ำเรียนและฝึกฝนมา ปราบพระอันธพาลนอกรีตทั้งหลาย
ซึ่งบางครั้งก็พลั้งมือทำลงไปถึงขั้นสลบหรือเกิดเลือดตกยางออกเป็นแผล
และใช้วิชากฏหมายในการสืบสวน สอบสวนและวินิจฉัยในความผิดที่เขากระทำ
ทำงานในตำแหน่งพระวินยาธิการอยู่ ๒ ปี จัดการชำระคดีของพระหลายสิบราย
จนเกิดความเบื่อหน่ายและไม่สบายใจ เพราะบางคร้งเราก็ก็ทำเกินเหตุไป
ความผิดในพระธรรมวินัยไม่ร้ายแรงถึงขั้นปาราชิกแต่ผิดที่เป็นโลกวัตรชะที่ชาวโลกเขาติเตียนรับไม่ได้
แต่เราก็ไปจับเขาสึกตามกระแสของสังคมที่บีบบังคับเรา จึงตัดสินใจขอลาออกจากการเป็นพระวินยาธิการ
ตัดสินใจออกเดินธุดงค์เข้าป่าและออกเสาะหาครูบาอาจารย์และเน้นเรื่องการปฏบัติเพียงอย่างเดียว
เวลาล่วงเลยผ่านมาสิบกว่าปีจนถึงปี พ.ศ.๒๕๔๒ ซึ่งขณะนั้นกำลังสร้างวัดอยู่ที่จังหวัดพังงา
ใกล้ออกพรรษาเดือนตุลาคม พ.ศ.๒๕๔๒ ....
ทำวัตรสวดมนต์เย็นเสร็จแล้วลงไปนั่งสมาธฺที่ศาลาในป่าไทร
นั่งตั้งแต่สองทุ่มจนถึงตีสี่กว่าพระท่านตีระฆังให้สัญญานทำวัตรเช้า
จึงได้ออกจากอารมณ์สมาธิเพื่อที่จะล้างหน้าแปรงฟันและลงไปทำวัตรเช้า
แต่ปรากฏว่าลุกขึ้นไม่ได้เพราะว่าขาข้างขวาไม่มีแรงและไม่มีความรู้สึกเสียแล้ว
เกิดนิมิตรแว๊บขึ้นมาทันทีคือเห็นภาพที่เรากำลังเตะพระที่เมายาเสพติดและกำลังเสพอยู่
เลยนั่งพิจารณาต่อไปว่าเราทำไปเพื่อรักษาพระศาสนาและพระที่เราทำร้ายก็ผิดธรรมวินัย
แต่สิ่งที่เราลืมไปคือผ้าเหลืองธงชัยพระอรหันต์ที่เขาสวมใส่นุ่งห่มอยู่ซึ่งเราลืมให้ความเคารพ
สิ่งที่เราทำไปเหมือนเราทำร้ายผ้าเหลือง ไม่ให้เกียรติผ้าเหลืองซึ่งเป็นยูนิฟอร์มเครื่องแบบของพระ
เมื่อจิตระลึกได้เห็นที่มาของวิบากกรรม เราก็ไม่ตกใจ เสียใจหรือหวาดกลัว ยอมรับในผลกรรม
ขาขวาเป็นอัมพฤกต์ใช้การไม่ได้อยู่ ๗ เดือนจึงจะรักษาหายและเดินได้ตามปกติ
ล่วงเลยมาจนถึงปี พ.ศ.๒๕๕๑....
ใกล้ออกพรรษาเดือนตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๑
ทำวัตรสวดมนต์เย็นเสร็จแล้วลาพรรษาเพื่อจะไปดูหินแกะที่บุรีรัมย์
เพื่อที่จะเอามาทำเป็นทับหลังซุ้มประตูโบสถ์มหาอุดวัดทุ่งเว้า ที่มุกดาหาร
นั่งสมาธิเจริญภาวนาบนรถตู้ตั้งแต่ออกจากวัตรเวลาประมาณสองทุ่มกว่าๆ
จนรถไปถึงอำเภอโนนดินแดง จังหวัดบุรีรัมย์ เวลาประมาณตีห้ากว่ากว่าๆ
รถจอดหน้าบ้านลูกศิษย์จึงออกจากสมาธิเพื่อจะลงไปล้างหน้าแปรงฟัน
เอี้ยวตัวหันไปจะหยิบย่ามปรากฏว่าแขนข้างขวาไม่มีแรง ไม่มีความรู้สึก สั่งให้หยิบจับอะไรไม่ได้แล้ว
จิตคิดถึงภาพที่เรากำลังตบพระที่กำลังเมาเหล้าและต่อสู้ไม่ยอมอยู่ในความสงบ ขึ้นมาทันที
และรู้ตัวเองทันทีว่าวิบากกรรมตามมาทันเราแล้ว จิตไม่หวั่นไหว ไม่ตกใจ ยอมรับในวิบากกรรม
คิดว่าเป็นได้ก็หายได้ ถ้าไม่หายแขนข้างซ้าย มือข้างซ้ายเรายังมี ยังใช้ได้อยู่ จึงไม่ตกใจกลัว
และก็รักษาแขนข้างซ้ายไปตามอัตภาพ ฝังเข็ม ฉีดยา นวดจับเส้น กินยา ทาน้ำมัน ไม่ขัดศรัทธาของญาติโยม
ขณะที่มือขวาใช้งานไม่ได้เราก็มาฝึกการใช้มือซ้าย ให้คล่องกว่าเดิม เพราะปกติของเรานั้นถนัดทั้งสองมืออยู่แล้ว
จึงไม่ค่อยจะมีปัญหาในการทำงานและการใช้ชีวิตประจำวันมากสักเท่าไหร่และใจเราก็ไม่เป็นทุกข์กับอาการอัมพฤกต์ที่เป็นอยู่
จนถึงวันนี้ เหลือเวลาอีก ๓๐ วันจะครบปี ที่มือข้างขวาได้เป็นอัมพฤกต์ ซึ่งตอนนี้ก็ใกล้จะเป็นปกติเหมือนเดิมแล้ว
สิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเรานั้นล้วนแล้วเกิดแต่กรรมที่เราเคยทำมา ทั้งในชาติที่แล้ว และในชาตินี้ เราไม่อาจจะหนีพ้นกรรมที่ทำได้
จึงยืดอกน้อมรับผลกรรม ไม่หวั่นไหวและตกใจต่อวิบากกรรมทั้งหลายที่จะให้ผลในวันนี้ ด้วยความยินดีและเต็มใจ
เมื่อจิตไม่หวั่นไหว ใจเราก็จะสงบ เพราะว่าเราเคารพซึ่งกฏแห่งกรรม สิ่งที่เราได้ทำลงไป จะดีหรือร้าย ยอมรับในกรรม...
:059:แด่วิบากกรรมที่ส่งผลในวันนี้และสำหรับความโชคดีที่ได้ชดใช้กรรม
เชื่อมั่น-ศรัทธา-ปรารถนาดี-ด้วยไมตรีจิต
รวี สัจจะ-สมณะไร้นาม
๒๔ กันยายน ๒๕๕๒ เวลา ๒๑.๕๐ น. ณ ศาลาน้อยริมน้ำโขง ชายแดนประเทศไทย