การติดต่อเกี่ยวข้องกับสิ่งลี้ลับที่ยากกับการพิสูจน์เช่น ผีสาง เทวดา คนตาย อะไรเหล่านี้ มาได้จากหลายเหตุผล เช่น การนั่งสมาธิแล้วได้ไปรู้ไปเห็นเรื่องราวต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเห็น การคุยกับผี เทวดา พรหม หรือแม้แต่สัมภเวสีคือ คนที่ตายไปแล้วแต่ยังไม่สามารถไปเสวยบุญหรือกรรมของตนเอง เหล่านี้เป็นเรื่องราวที่มักจะได้ยินอยู่เสมอ บางทีก็ไปพิสูจน์ถึงจานบิน มนุษย์ต่างดาวซึ่งก็เป็นไปได้ ขึ้นอยู่กับความสามารถเฉพาะตัว ซึ่งเราทุกคนสามารถจะเรียนรู้และนำไปใช้ได้ ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอะไรเลย
ปัจจุบันคนเราใช้ความสามารถทางจิตของตัวเองน้อยเกินไป ทำให้ไม่อาจติดต่อรับรู้ถึงสภาวะความเป็นทิพย์หรืออีกมิติของสิ่งเหล่านั้น เพราะเรามีความหยาบของจิตมาก ในการที่จะติดต่อหรือรับรู้กับสิ่งอื่นได้ ต้องมีความถี่ที่ตรงกันจึงจะเห็นหรือคุยกันได้ ซึ่งถ้าจะให้อธิบายก็คงเป็นเรื่องของการทำจิตใจให้ใสสะอาด แม้จะชั่วขณะหนึ่งที่จิตเป็นสมาธิ ก็อาจจะทำให้เรารับรู้อะไรบางอย่าง ที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของท่านไปตลอดกาลก็ได้ นับเป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างที่สุด สำหรับข้าพเจ้าแล้วถือว่า "การเอาชนะใจของตัวเองได้นับเป็นชัยชนะที่เยี่ยมยอดยิ่งกว่าชัยชนะอื่น"
เรื่องของพญานาคมีการถกเถียงกันอย่างแพร่หลายมาก ว่าพญานาคมีจริงหรือไม่อย่างไร แต่ส่วนใหญ่มีความเชื่อกันว่าพญานาคเป็นแค่เรื่องเล่า เป็นตำนานไม่มีจริง กระทั่งนักวิทยาศาสตร์อยากจะส่งอุปกรณ์ไปสำรวจในแม่น้ำโขง จนเป็นเรื่องราวใหญ่โต มีนักท่องเที่ยวไปเมืองหนองคายมากเป็นพิเศษ เพราะต้องการจะดูจะเห็น ถึงความแปลกมหัศจรรย์ของสิ่งนี้ แต่สำหรับข้าพเจ้าแล้ว เรื่องของพญานาคนั้นข้าพเจ้าสัมผัสได้ตั้งแต่ปี ๒๕๓๙ ซึ่งเป็นปีแรกที่ข้าพเจ้าเริ่มไปธุดงค์ในวัดท่าซุง และอีกหลายครั้งในวันออกพรรษาที่จังหวัดหนองคาย
สำหรับข้าพเจ้าแล้วแม้ว่าจะฝึกสมาธิมาหลายปี แต่ก็ออกจะติดนิสัยชอบทดสอบทดลอง เพราะถ้าไม่รู้ไม่เห็นแล้วจะอธิบายหรือพูดไปได้อย่างไร จะเป็นการโกหกเสียเปล่าๆ ซึ่งก็เหมือนเป็นการท้าทาย คำว่า "ไม่เชื่ออย่าลบหลู่นั้น" ข้าพเจ้าก็ลองมานักเหมือนกัน นับเป็นนิสัยที่ไม่ค่อยจะดี และก็เจอของจริงมาเยอะเหมือนกัน พลาดไปหลายหนแต่จะให้เข็ดก็คงจะไม่เสียทีเดียว เพราะเป็นสันดานที่แก้ยากมากสำหรับเรื่องนี้
ในการธุดงค์นั้นจะเป็นช่วงที่ต้องอยู่ในอาการสงบทั้งกายและใจ เป็นช่วงที่จิตใจจะมีความใสสะอาดกว่าปกติ เพราะต้องอยู่ในศีล ๘ สวดมนต์ไหว้พระ ทำวัตรเช้า-เย็น และต้องนั่งสมาธิวันละหลายเวลา พิจารณาธรรมะตามความชอบใจ ต้องนอนในกลดหรือเต้นท์ ให้ความรู้สึกเหมือนกับว่ามีแค่ร่างกายกับจิตของเราเท่านั้น ถึงแม้จะมีคนรอบตัวมากมายก็เหมือนไม่มี ในขณะนั้นทางวัดท่าซุงได้จัดให้พราหมณ์หญิงพักที่สวนไผ่ เพราะมีคนไปธุดงค์ยังไม่เยอะแค่หลักร้อยกว่าเท่านั้น (ปัจจุบันธุดงค์พราหมณ์หญิงก็พันกว่าคนแล้ว) ข้าพเจ้าเลือกนอนเสื่อกางมุ้งเรียกว่าได้บรรยากาศอย่างที่สุด เพราะเดือนธันวาคมนั้นก็เย็นพอสมควร ปกติตอนก่อนจะนอนก็ต้องมีการสวดมนต์ไหว้พระ ว่าคาถากรณียเมตตสูตร และคาถาขันธปริตร นับเป็นเรื่องปกติที่ครูบาอาจารย์สั่งสอนให้ปฏิบัติระหว่างธุดงค์
คืนแรกในสวนไผ่ข้าพเจ้าสวดมนต์ช่วงประมาณสองทุ่มกว่าๆ ก็รู้สึกว่ามีเหมือนเงาสีขาว ลำตัวใหญ่ขนาดต้นกล้วยได้ ยาวมากล้อมรอบมุ้ง ลักษณะเหมือนงูตัวใหญ่ ขนาดหน้าตาใหญ่เท่าๆ กับหน้าของคน แต่มีหงอนและเครายาวใหญ่ ตามีลักษณะสีแดงเห็นได้ชัดเจน แต่ข้าพเจ้าเห็นแค่แวบเดียวเท่านั้น ตอนนั้นก็คิดว่าเราอุปทานหรือเปล่า และก็ตั้งหน้าตั้งตาสวดมนต์ต่อให้จบเพื่อจะเข้านอน เหลือแต่ความสงสัยและความกังวลเก็บเอาไว้ เพราะเป็นไปได้ที่ข้าพเจ้าจะถูกทดสอบทดลองในขณะปฏิบัติ
คืนต่อมา ในช่วงสวดมนต์ก็ยังมีความรู้สึกคล้ายมีงูใหญ่มาอีก แต่คราวนี้หลังจากสวดมนต์เสร็จ ข้าพเจ้าก็สวดบทแผ่เมตตาให้กับสิ่งที่มา เพราะคิดว่าเขามาหาอาจจะต้องการให้อุทิศส่วนกุศลให้ แต่ที่ไหนได้งูใหญ่นั้นกลับมาใกล้จนชิดมุ้งทีเดียว แต่แค่สักครู่ก็หายไป พอข้าพเจ้านอนปกติจะเป็นการภาวนาไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหลับ ช่วงที่เคลิ้มมีความรู้สึกว่าอะไรสักอย่างเลื้อยผ่านมาบนตัวจากขวาไปซ้าย พอลืมตาก็เห็นเป็นเงาสีขาวเหมือนหมอกชัดเจน คราวนี้สวดมนต์บทที่ถนัดที่สุดคือ อิติปิโสฯ แต่ก็ไม่ได้มีผลอะไรเกิดขึ้น ในใจได้แต่คิดว่า "คราวนี้เจอของจริงแล้ว จะทำยังไงดีล่ะ" เป็นความรู้สึกตื่นเต้นปนความกลัวแต่ก็ยังสวดมนต์ไปเรื่อยๆ ไม่หยุด สักสองสามนาทีตั้งสติได้ก็คิดว่า "เอาเถอะ ถ้าจะตายตอนนี้ก็ดี อยากรู้เหมือนกันว่า ถ้าตายแล้วจะไปไหน" เงาสีขาวนั้นก็เลื้อยหายไปในบริเวณกอต้นไผ่ ที่ห่างจากมุ้งข้าพเจ้าสักสี่ห้าเมตร
และคิดว่าถ้ามีครั้งต่อไป ข้าพเจ้าจะต้องรู้ให้ได้ว่านั่นคืออะไร เป็นดังคาดเพราะข้าพเจ้าก็ได้เจอในช่วงเวลาเดิมอีก แต่คราวนี้ข้าพเจ้าก็ขออาราธนาบารมีของพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง และอธิษฐานขอให้สิ่งนั้นปรากฏร่างจริง ข้าพเจ้าก็เห็นได้อย่างชัดเจน และความรู้สึกตอนนั้นก็ตอบว่าคือ "พญานาค" ท่านก็ให้เห็นเป็นร่างแบบมนุษย์ผู้ชาย และก็แนะนำตัวว่า อยู่บริเวณนี้มานานแล้ว เห็นว่ามีคนมาปฏิบัติดีท่านก็เลยมาเพื่อโมทนาบุญ แต่ก็ไม่ค่อยมีคนเห็น พอทราบว่าข้าพเจ้าสัมผัสได้ก็เลยมาให้เห็นบ่อยๆ เพื่อจะแสดงตัวว่าท่านจะให้ความคุ้มครอง และขอให้อุทิศบุญในการธุดงค์นี้ให้กับเทวดาทั้งหลายที่รักษาเขตนี้ด้วย เพื่อการฝึกจะได้ไม่มีอุปสรรคมาก และท่านจะแวะมาคุยด้วย ซึ่งท่านก็แนะนำเรื่องการปฏิบัติให้
รุ่งขึ้นข้าพเจ้าก็ไปลองถามคนอื่นๆ ที่อยู่ในบริเวณเดียวกัน บางคนก็เจออะไรแปลกๆ มีสัตว์รบกวน บางคนก็ได้ยินเสียงร้องดังกลางดึก แต่มีคนเล่าว่าสัมผัสได้ถึงสิ่งที่คุ้มครองที่นั่น แต่ไม่ทราบว่าอะไร แต่ข้าพเจ้าก็ไม่ได้เล่าให้ใครฟังตอนนั้นเพราะเดี๋ยวจะมีความวิตก หรือความกลัว แต่ก็เชื่อว่าที่ข้าพเจ้าเห็นและสัมผัสไม่ผิด สุดท้ายก็ได้เรียนถามครูบาอาจารย์ที่แนะนำข้าพเจ้าตั้งแต่ต้น ท่านก็ยืนยันว่าใช่ สิ่งนั้นคือ "พญานาค" และยังมีอยู่มากมายบริเวณท่าน้ำเลี้ยงปลาวัดท่าซุงด้วย สำหรับประเทศไทยนั้นมีพญานาคอยู่มากมายหลายแห่ง ท่านคอยดูแลรักษาสมบัติมีค่าของประเทศไทย ไม่ใช่แค่เรื่องสมมติที่แต่งขึ้นเพื่อสร้างเป็นความเชื่อให้เราหลงงมงาย ไร้สาระ
บางทีท่านเองอาจจะเคยเจอเรื่องแปลกอธิบายไม่ได้ เพียงแต่ท่านไม่ทราบว่านั่นคืออะไร ในโลกนี้มีอีกหลายเรื่องราวที่วิทยาศาสตร์ไม่สามารถพิสูจน์ได้
ขอบคุณที่มา...พ่อแก้วแม่แก้ว เว็บพลังจิตดอทคอม