วัดเขาอ้อแต่เดิมเป็นสำนักเขาอ้อซึ่งเป็นสำนักทิศาปาโมกข์แบบเดียวกันกับในประเทศ
อินเดีย
สำนักเขาอ้อก่อตั้งขึ้นก่อนปี พ.ศ. ๘๐๐ ผู้ก่อตั้งคือพรหมณาจารย์หรือพราหมณ์ผู้ทรงเวทย์ที่เดินทางมาจากประเทศอินเดีย เป็นยุคที่นามเรียก ดราวิเลียนยาตรา
คือยุคสมัยที่ศาสนาพราหมณ์เริ่มเคลื่อนไหวออกจากประเทศอินเดียเพื่อจะขยายฐานศรัทธาข
องศาสนาพราหมณ์ อันเป็นผลเนื่องจากศาสนาพุทธที่กำลังมาแรงในประเทศอินเดีย
ทำให้ศาสนสถานของพราหมณ์หลายแห่งต้องกลายมาเป็นศาสนสถานของศาสนาพุทธ เช่นวัดต่างๆในเขตเมืองนครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี เพชรบุรี และจังหวัดพัทลุงก็เช่นกัน
ศาสนาพุทธได้เริ่มมาตั้งมั่นในเมืองนครศรีธรรมราชราวปี พ.ศ. ๘๐๐ ตามหลักฐานระบุว่าศาสนาพราหมณ์เดินทางมาก่อน ก็แสดงว่าสำนักเขาอ้อย่อมที่จะมีการก่อตั้งขึ้นก่อนปี พ.ศ. ๘๐๐ อย่างแน่นอนเพราะสำนักนักเขาอ้อศาสนาพราหมณ์เป็นผู้ก่อตั้ง มีบันทึกชื่อสำนักเขาอ้อในหนังสือโบราณเล่มหนึ่งที่อยู่ในห้องสมุดของ
มหาวิทยาลัยพาราณสีในประเทศอินเดีย ค้นพบโดย เวทย์ วรวิทย์
อดีตมหาเปรียญผู้ผ่านการศึกษาเกี่ยวกับประวัติพระพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้ง
ในบันทึกมีใจความว่าแต่เดิมสำนักเขาอ้อเป็นสำนักทิศาปาโมกข์
คือเป็นที่บำเพ็ญพรตของพราหมณ์ผู้ทรงวิทยาคุณทำหน้าที่ถ่ายทอดวิชาความรู้ให้แก่เชื่
อพระวงศ์ หรือวรรณะกษัตริย์ และลูกหลานผู้นำ
เพราะพราหมณ์เป็นชนชั้นรักสงบมีธาตุแห่งความประนีประนอมสูง
มีความคิดกว้างไกล เป็นชนชั้นนักการศึกษาชนชั้นแรกของโลก
โดยนอกจากจะมีวิชาเกี่ยวกับการปกครองตามตำราธรรมศาสตร์แล้ว ยังมีเรื่องพิธีกรรม ฤกษ์ยาม การจัดทัพตามตำราพิชัยสงครามตลอดไปถึงไสยเวทย์ และการแพทย์
การสืบทอดวิชาในสำนักเขาอ้อได้ดำเนินมาจนกระทั่งถึงพราหมณ์รุ่นสุดท้าย
ท่านได้เล็งเห็นถึงสถานการณ์ว่าไม่สามารถที่จะต้านกระแสศรัทธา
ของศาสนาพุทธได้แน่แล้วจึงคิดหลอมสำนักเขาอ้อเข้า
กับศาสนาพุทธและกลัวว่าจะไม่มีผู้ใดรับสืบทอดวิชา และสถานที่ศักดิ์สิทธิ์
ต่อซึ่งพราหมณ์ผู้บรรลุพระเวทย์หลายท่านได้ฝังร่างไว้ที่นี้จะถูกปล่อยให้รกร้าง
ประกอบกับขณะนั้นอิทธิพลทางพระพุทธศาสนา
ได้แผ่เข้ามาถึงตัวจังหวัดพัทลุงแล้ว จึงได้ตัดสินใจนิมนต์พระรูปหนึ่ง
มาจากวัดน้ำเลี้ยว วัดน้ำเลี้ยวปัจจุบันเป็นวัดร้างหมดสภาพ
ความเป็นวัดแล้ว มีนามว่า
พระอาจารย์ทอง ให้มาอยู่ในถ้ำแทนและมอบคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ของ
บูรพาจารย์พราหมณ์พร้อมถ่ายทอดวิชาให้และมอบสำนักให้
กลายเป็นที่พักสงฆ์จึงกลายมาเป็น "วัดเขาอ้อ"แม้ว่าสำนักเขาอ้อจะกลายมาเป็นสำนักสงฆ์แล้ว แต่ก็ยังคงสืบทอดหน้าที่
เป็นสำนักเผยแพร่ความรู้ให้แก่เยาวชนต่อมาอีกหลายร้อยปี
แต่ว่าเมื่ออยู่ในความปกครองของพระภิกษุ บรรดาศิษย์ที่เข้าเรียนในสำนักนี้
มีหลายชนชั้นไม่เหมือนกับสมัยพราหมณ์ปกครองอยู่เปิดโอกาสให้แก่เชื่อพระวงศ์
หรือวรรณะกษัตริย์ และลูกหลานผู้นำเท่านั้น
ต่อมาในปี ๒๒๘๔ พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
พระราชทานพระพุทธรูปหล่อสำริด ๑องค์ และหล่อด้วยเงิน ๑องค์
แก่วัดเขาอ้อสร้างโดยเชื้อพระวงศ์ที่เคยมาศึกษาวิทยาการที่สำนักเขาอ้อมีนามว่า
เจ้าอิ่ม กับ
เจ้าฟ้ามะเดื่อ ในสมัยพระมหาอินทราชท่าน
ได้ทำการบูรณะพระพระพุทธรูปในถ้ำ ๑๐องค์ แทนพระบารมี ๑๐ทัดของพระพุทธองค์
สร้างอุโบสถขึ้น ๑หลัง สร้างพระพุทธบาทจำลอง พระพุทธไสยาสน์ ๑องค์
พร้อมด้วยมณฑปไว้บนเขาอ้อ และสร้างเจดีย์ไว้บนเขาอ้อ ๓องค์
แล้วท่านก็ไปจากวัดเสีย ต่อมาปะขาวขุนแก้วเสนาและขุนศรีสมบัติพร้อมกับชาวบ้านใกล้เคียง
ไปนิมนต์พระมาหาคงให้มาอยู่ต่อที่วัด ต่อมาก็มีเจ้าอาวาสปกครองวัดเขาอ้อ
ต่อกันมาหลายสิบรูปล้วนแต่มีความเชี่ยวชาญทางไสยเวทย์มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วภาคใต
้
วัดเขาอ้อ ตั้งอยู่หมู่ที่ ๓ ต.มะกอกเหนือ อ.ควนขนุน จ.พัทลุง ๙๓๑๕๐
ขอขอบคุณแหล่งที่มาของข้อมูล :
http://www.109wat.com/bk01.php?id=314