เป็นที่ทราบกันว่า การเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นสิ่งที่มนุษย์เราทุกคนจะต้องประสบ และเป็นสิ่งที่เที่ยงแท้แน่นอนที่สุด
ในชีวิตของเราทุกคน แต่ก็คงจะไม่มีใครสามารถหยั่งรู้ได้แน่ชัดว่าสิ่งนั้นจะเกิดขึ้นกับตนเองเมื่อไหร่ รู้กันเพียงแต่
ว่าจะต้องแก่ เจ็บ ตาย โดยเฉพาะการตายเป็นการยากอย่างยิ่งที่จะกำหนดรู้ได้
ท่ามกลางความยากเย็นเช่นนี้ ก็ได้มีพระภิกษุรูปหนึ่งสามารถกำหนดรู้วันตายของตัวเองได้ คือรู้ว่าตัวเองจะมรณ
ภาพเวลาไหนและเพราะเหตุใด พระภิกษุรูปนี้มีชื่อว่าหลวงพ่อชาย ท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดทุ่งไหม้ อำเภอร่อนพิบูลย์
จังหวัดนครศรีธรรมราช
ท่านมีชีวิตอยู่ในคนละยุคกับผม ผมจึงไม่มีโอกาสได้พบกันกับท่าน แต่นั่นมิได้หมายความว่าผมจะไม่ได้ทราบเรื่อง
ราวของท่านเลย จริงอยู่แม้ผมจะไม่มีโอกาสเห็นท่าน แต่ก็ได้รับทราบเรื่องราวของท่าน จากญาติผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง
ได้เล่าเรื่องอัศจรรย์ของพระภิกษุรูปหนึ่งให้ฟังว่า...
มีพระภิกษุรูปหนึ่งจำพรรษาอยู่ที่วัดในป่า ก่อนที่ท่านจะมรณภาพ ท่านรู้ดีว่าวันนี้ตัวเองจะต้องถูกเสือตัวหนึ่งกัดถึง
แก่ความตายแน่ๆ ท่านว่ามันเป็นผลกรรมที่ท่านเคยทำมันไว้ ปรากฏว่าวันนั้นท่านถูกเสือบุกเข้ามากัดจนท่านมรณ
ภาพจริงๆ ท่ามกลางการอารักขาอย่างเหนียวแน่นของบรรดาญาติโยม
เรื่องมันเป็นอย่างนี้ ก่อนที่จะมาบวชนั้น สมภารชายท่านก็เป็นชาวบ้านอยู่ที่นี่เอง สมัยที่ท่านยังเป็นหนุ่มได้ร่ำเรียน
วิชาคาถาอาคมกับหมอผู้เก่งทางไสยศาสตร์คนหนึ่งซึ่งเป็นคนใกล้ๆบ้าน เมื่อท่านมีครอบครัว (แต่ไม่มีลูก) ก็เกิด
มีเสือร้ายตัวหนึ่งเที่ยวอาละวาดกัดกินผู้คน และสัตว์เลี้ยงของชาวบ้านละแวกนั้น ชาวบ้านได้รับความเดือดร้อน
พร้อมกันทั่วหน้า และในที่สุดชาวบ้านตัดสินใจรวมทีมกันออกล่าเจ้าเสือร้ายตัวนั้น ซึ่งในครั้งนั้นอาจารย์ของสมภาร
ชายก็ร่วมเดินทางไปด้วย โดยมีตัวท่านสมภารชายเองก็ติดสอยห้อยตามไปด้วย
ขบวนล่าเสือออกเดินทางรอนแรมไปหลายที่ ผจญภัยกับสัตว์ร้ายต่างๆ นานามากมาย โดยเฉพาะเจ้าเสือร้ายที่กำลัง
ถูกตามล่าอย่างเอาเป็นเอาตาย ได้พบและประมือกับมันหลายครั้ง ซึ่งความร้ายกาจของมันทำให้ผู้ร่วมเดินทางจบ
ชีวิตลงหลายคน ในที่สุดฝ่ายออกล่าก็เพลี่ยงพล้ำต่อเสือตัวนั้น เสียชีวิตเกือบหมด เหลือพรานป่าซึ่งเป็นเพื่อนของ
อาจารย์สมภารชาย อาจารย์สมภารชาย และตัวสมภารชายเองเท่านั้น
ถึงแม้ว่าขบวนล่าเสือจะไม่สามารถดับชีวิตเสือร้ายได้ตามต้องการ แต่ก็ได้ทำร้ายมันบาดเจ็บปางตาย โดยเฉพาะจาก
ฝีมือของอาจารย์ของสมภารชายและตัวสมภารชาย เมื่อกลับจากล่าเสือมาได้ไม่เท่าไร อาจารย์ของสมภารชายก็เสีย
ชีวิตด้วยโรคร้ายที่ติดมาจากป่า และในเวลาไล่เลี่ยกันนั้นเองภรรยาของสมภารชายก็เสียชีวิตลงด้วยโรคฝีดาษในท้อง
ท่านเสียใจมาก จึงตัดสินใจบวช และเอาที่ทางซึ่งเคยเป็นที่อยู่ที่ทำกินของตนทำเป็นวัด ให้ชาวบ้านทำขนำให้จำพรรษา
สมภารชายท่านจำพรรษาอยู่ที่นั่นนานจนชาวบ้านเกิดความเลื่อมใสศรัทธา จึงช่วยกันบุกเบิกแผ้วถางบริเวณนั้นช่วย
กันสร้างเสนาสนะขึ้นทำเป็นวัด โดยเรียกกันว่า "
วัดทุ่งไหม้"(น่าจะเพี้ยนมาจากคำว่าม่าย เพราะท่านสมภารเป็นม่าย)
สมภารวัดทุ่งไหม้ เป็นผู้รอบรู้วิชาคาถาอาคมมาก่อน เมื่อบวชก็ตั้งใจประพฤติปฏิบัติธรรม จนบรรลุคุณอันวิเศษ คือ
สามารถหยั่งรู้ชะตากรรมของตัวเองได้ เมื่อท่านมีอายุมากเข้าท่านก็ทราบได้ด้วยญาณว่าตัวเองใกล้จะถึงอายุขัยแล้ว
และรู้ด้วยว่าจะเป็นวันไหน ด้วยเหตุใด ท่านจึงเรียกญาติโยมมาประชุมแล้วแจ้งให้ทราบว่า ท่านจวนจะมรณภาพแล้ว
ชาวบ้านพากันสงสัยว่าทำไมท่านจึงจะมรณภาพเร็ว ทั้งที่อายุก็ยังไม่มากนัก อีกอย่างร่างกายก็ยังแข็งแรงดีไม่มีโรค
ภัยไข้เจ็บมาเบียดเบียน ท่านสมภารได้อธิบายให้ทราบว่า ท่านได้ทำกรรมไว้กับเสือตัวที่ออกล่ากัน เมื่อคราวมันมา
อาละวาดแถวๆนี้ โดยทำร้ายมันบาดเจ็บปางตาย ตอนนี้เสือตัวนั้นหายดีแล้ว และมันกำลังจะมาทวงผลกรรมครั้งนั้น
คืน คือจะเอาชีวิตของท่านเป็นการแก้แค้น
ชาวบ้านทราบดังนั้นก็พากันหวั่นวิตกกันทั่วหน้า จึงพร้อมใจกันป้องกันท่าน โดยพยายามหาทางป้องกันภัยจากเสือ
ร้ายตัวนั้น พวกเขาช่วยกันอย่างเต็มที่ พวกหนึ่งลงมือขุดคูรอบกุฏิของท่านสมภารเพื่อมิให้เสือข้ามเข้ามาได้ อีกพวก
หนึ่งลงมือทำเครื่องมือทำอาวุธ โดยการเผาเหล็กทำมีด ตีดาบ โดยทำกันในวัดนั่นเอง
เมื่อใกล้ถึงวันที่ท่านสมภารบอกว่าท่านจะมรณภาพแน่แล้ว พวกชาวบ้านก็พร้อมกันมาอยู่ยามเฝ้าอารักขาท่าน ผลัด
กันทั้งกลางวันกลางคืน กลางคืนก็ก่อไฟรอบๆ กุฏิท่านสมภาร ดูสว่างไสวประดุจกลางวัน และผู้ชายวัยฉกรรจ์พร้อม
อาวุธหลายคนก็อยู่ยามเตรียมรับมือเสือร้าย
แล้ววันหนึ่ง ท่านสมภารได้บอกกับญาติโยมว่า "
วันนี้อาตมาต้องถึงแก่มรณภาพแน่แล้ว เสือร้ายตัวนั้นมันจะเอาชีวิต
อาตมาภายในค่ำคืนนี้" ชาวบ้านทราบอย่างนั้นก็พากันตกใจเป็นการใหญ่ เพิ่มความอารักขากันเต็มที่ อยู่เวรอยู่ยาม
ก็เข้มงวดมาก ถึงกับไม่ยอมหลับยอมนอน
แต่แล้วในคืนวันนั้นเอง ก็เกิดสิ่งแปลกประหลาดเกิดขึ้น อยู่ๆทุกคนก็เกิดเผลอหลับพร้อมๆกัน โดยนอนรายรอบกุฏิ
ท่านสมภารนั่นเอง ท่านสมภารท่านนั่งสมาธิอยู่ในห้องแต่เพียงลำพัง แล้วต่อมาผู้อยู่ยามคนหนึ่งก็ได้ยินเสียงเสือดัง
มาจากในห้องท่านสมภาร จึงรีบผลุนผลันเข้าไปดู คนอื่นๆเมื่อรู้สึกตัวก็ตามไปติดๆ ภาพที่เห็นทำให้ทุกคนตกใจจน
แทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง ท่านสมภารนอนร่างอาบโชกไปด้วยเลือด สีแดงฉานอยู่บนที่นอน ส่วนเสือร้ายยังไม่
หนีไปไหน แต่พอชาวบ้านเข้าไปมันก็กระโดดหนีไปทางหน้าต่าง ท่านสมภารมรณภาพในคืนนั้นจริงๆ ชาวบ้านเสีย
อกเสียใจมาก จึงช่วยกันจัดการฌาปนกิจศพท่านตรงบริเวณหน้ากุฏิท่านนั่นเอง หลังจากนั้นจึงช่วยกันสร้างสถูป
เล็กๆบรรจุอัฐของท่านสมภารไว้
ด้วยความเสียใจและไม่อยากให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย พวกชาวบ้านจึงย้ายวัดไปสร้างใหม่ในที่ห่างจากที่เดิม 1 ก.ม.
ซึ่งมีหมอกลางบ้านคนหนึ่งได้อุทิศให้ วัดนั้นจึงได้ชื่อว่า "
วัดหมอบุญ" มีชื่อเป็นทางการว่า "
วัดเจริญบุญเขต" ซึ่ง
ต่อมาวัดแห่งนี้เจริญ ตราบจนกระทั่งปัจจุบันนี้
ส่วนวัดทุ่งไหม้ ถูกปล่อยให้รกร้างเป็นป่าดงดิบอยู่นานจนกระทั่ง มีพระธุดงค์รูปหนึ่งได้มาปักกลดพัก และเกิดชอบ
ความสงบ ณ.ที่แห่งนี้ ก็เลยอยู่ประจำที่นั่น ชาวบ้านเห็นดังนั้นก็พร้อมใจกันฟื้นฟูพัฒนาวัดขึ้นมาใหม่ จึงได้ร่วมกัน
สร้างเสนาสนะและศาสนสถานขึ้นมาใหม่หลายอย่าง ซึ่งปัจจุบันได้รับการบูรณะปฏิสังขรณ์จนอยู่ในสภาพดี แทบ
ไม่เหลือร่องรอยของวัดเก่า ซึ่งมีตำนานลึกลับชวนพิศวงให้เห็น คงมีแต่เพียงเรื่องเล่าขานที่ได้รับทราบต่อ ๆ
กันมาเพียงเท่านั้น.
ขอให้ทุกท่านเจริญในธรรม *************************
กระเบนท้องน้ำ**************************