ตถตาอาศรม ริมฝั่งโขง
๒๙ กรกฎาคม ๒๕๕๓
......รอยทาง...........เปิดสายบิณฑบาตรใหม่ เดินข้ามไปบิณฑบาตรอีกหมู่บ้านหนึ่ง
ซึ่งไม่เคยมีพระไปบิณฑบาตร เพราะเป็นชุนชนใหม่ที่ย้ายออกมาอยู่ที่นานอกหมู่บ้าน
เป็นการเดินข้ามเขตอำเภอเมือง ไปบิณฑบาตรในเขตอำเภอดอนตาล เิดินไปตามคันนา
ระยะทางไป-กลับ ประมาณ ๖ ก.ม. ริมฝั่งโขงฟ้าจะสว่างเร็วกว่าที่อื่นของประเทศไทย
เวลาประมาณ ๐๕.๑๕ น.ฟ้าจะสว่างแล้ว รับอรุณแล้วจึงออกบิณฑบาตร เวลา ๐๕.๒๐ น.
ใช้เวลาในการออกรับิณฑบาตรไป-กลับ ประมาณ ๑ ชั่วโมง ๓๐ นาที บรรยายกาศยาม
เช้าในชนบทงดงามมาก ทุ่งนาที่เขียวขจี เสียงกบเขียดตามท้องทุ่งนา อากาศที่บริสุทธิ์
การออกรับบิณฑบาตรในยามเช้าทำให้ได้ปฏิบัติธรรมไปในตัว เดินกำหนดสติไปตลอดทาง
เหมือนกับการเดินจงกรมไปในตัว กลับมาถึงวัดทำกิจวัตรตามปกติ เสร็จแล้วจึงลงไปเคลียร์
งานการก่อสร้างกุฏิ เก็บงานรายละเอียดของกุฏิที่สร้างใหม่ เรื่องระบบไฟฟ้าและน้ำประปา
จนเป็นที่เรียบร้อย สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี
......รอยธรรม........เพิ่มกำลังของสติให้มากกว่า้ที่ผ่านมา พิจารณาธรรมมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่
เพราะที่ผ่านมาเกือบตลอดปีนั้น มีภาระกิจต้องเดินทางและงานก่อสร้างอยู่เป็นประจำ เลยทำให้
การเจริญสติภาวนานั้นลดลง ทำได้เพียงทรงไว้ซึ่งสภาวะธรรมที่เคยผ่านมา ไม่มีความก้าวหน้า
สภาวะธรรมตัวใหม่ๆไม่ได้เกิดขึ้น และบางครั้งการทำงานที่ใช้แรงงานนั้น ทำให้จิตเราหยาบขึ้น
สาเหตุมาจากความเหนื่อย ความเพลียของร่างกาย ทำให้บางครั้งก็มีการเผลอสติ ตามอารมณ์
ไม่ทัน แต่ก็สามารถที่จะดงกลับมาได้ทุกครั้ง ไม่พลั้งเผลอจนทำให้เกิดความเสียหาย ทั้งตนเอง
และส่วนรวม จงตั้งใจว่าในพรรษานี้ จะใช้การทำงานเป็นการฝึกสติ ฝึกสมาธิ และพิจารณาธรรม
เพราะในชีวิตจริงนั้น เราต้องอยู่กับสังคม ต้องทำงาน ต้องพบปะสงเคราะห์ญาติโยมอยู่ตลอด
ไม่มีเวลาที่จะมานั่งหลับตาภาวนา หรือมีเวลาที่จะไปเดินจงกรม จึงต้องใช้การทำงานให้เป็นการปฏิบัติ
มีสติในอิริยาบททั้งหลาย เจริญสติปัฏฐาน ๔ ตลอดเวลาที่เราตื่นอยู่ ให้มีสติ มีความรู้ตัวทั่วพร้ิอมตลอดเวลา
.....รอยกวี.......
ฟ้าสาง สว่างแล้ว เสียงเจื้อยแจ้ว ของนกกา
กบเขียด ตามคันนา ต่างเริงร่า รับตะวัน
เขียวเขียว เรียวข้าวห่ม ใบลู่ลม ชวนให้ฝัน
เรียงราย คล้ายคลึงกัน กอข้าวนั้น ต่างแตกกอ
มองกาย แล้วมองจิต มองแล้วคิด พินิจต่อ
ทำใจ ให้รู้พอ รู้ที่ก่อ เกิดอัตตา
มานะ และทิฏฐิ มีสติ รู้ปัญหา
ใช้ธรรม นำปัญญา สติมา ปัญญามี
รู้กาย และรู้จิต รู้ความคิด ให้ถ้วนถี่
รู้ชอบ และชั่วดี รู้สิ่งที่ ควรกระทำ
มองสิ่ง ที่พบเห็น มองให้เป็น กุศลกรรม
มองเห็น ให้เป็นธรรม เพื่อน้อมนำ สู่ทางดี
ก่อนพูด ควรจะคิด จะไม่ผิด กล่าววจี
พูดแต่ สิ่งที่ดี กล่าววจี เป็นสัมมา
สัมมา วาจานั้น สื่อสารกัน ด้วยภาษา
กล่าวดี มีเมตตา ลดปัญหา ทะเลาะกัน
เพ่งโทษ ผู้อื่นเขา เพิ่มโทษเรา อย่างมหันต์
อย่าติ ทำลายกัน จงสร้างสรรค์ ด้วยปัญญา
เป็นผู้ รู้สติ มีดำริ เป็นสัมมา
ตามแนว แห่งมรรคา องค์แปดนั้น ท่านว่าดี
สายกลาง ของชีวิต ชี้ถูกผิด อย่างถ้วนถี่
มรรคมี องค์แปดนี้ จะนำชี้ เจริญธรรม...
เชื่อมั่น-ศรัทธา-ปรารถนาดี
รวี สัจจะ-สมณะไร้นาม
๒๙ กรกฎาคม ๒๕๕๓ เวลา ๐๗.๓๒ น. ณ ศาลาน้อย ริมน้ำโขง ชายขอบประเทศไทย