สามีจิกรรมธรรมเนียมสงฆ์สร้างความสามัคคี การทำสามีจิกรรมเป็นธรรมเนียมของสงฆ์อย่างหนึ่งที่ภิกษุสามเณรพึงทำความชอบต่อกันเพื่อความสามัคคีกัน อยู่ร่วมกันโดยสงบสุข การทำความชอบนี้เรียกว่าสามีจิกรรมหมายถึงการขอขมาโทษกัน ให้อภัยกัน ทุกโอกาส ไม่ว่าจะมีโทษขัดข้องหมองใจกันหรือไม่ก็ตาม ถึงโอกาสที่ควรทำสามีจิกรรมกันแล้ว ทุกรูปไม่พึงละโอกาสเสีย จึงได้ชื่อว่าเป็นภิกษุสามเณรที่ดี ปฏิบัติชอบตามระบอบพระธรรมวินัย โอกาสควรทำสามีจิกรรมนั้น มีดังนี้
๑.ในวันเข้าพรรษา ทั้งภิกษุสามเณรที่อยู่ร่วมวัดเดียวกันควรทำสามีจิกรรมต่อกันเรียงตัวตั้งแต่ผู้มีอาวุโสมากที่สุดถึงสามเณรรูปสุดท้ายในวัด ไม่ควรเว้น เพื่อความสามัคคี
๒.ในระยะเข้าพรรษา เริ่มแต่วันเข้าพรรษาและหลังวันเข้าพรรษา ระยะเวลาประมาณ ๗ วัน ควรทำสามีจิกรรมต่อท่านที่ตนเคารพนับถือ ซึ่งอยู่ต่างวัด
๓.ในโอกาสจะจากกันไปอยู่วัดอื่นหรือถิ่นอื่น นิยมทำต่อท่านผู้มีอาวุโสกว่าตนในวัดและต่อท่านที่เคารพนับถือทั่วไป
ทั้ง ๓ กรณีนี้ เป็นการทำสามีจิกรรม แบบขอขมาโทษ นอกจากนี้ยังมีสามีจิกรรมแบบถวายสักการะเป็นการแสดงมุทิตาจิตอีกแบบหนึ่ง นิยมทำต่อท่านที่ตนเคารพนับถือในโอกาสที่ท่านผู้นั้นได้รับอิสริยศักดิ์หรือได้รับยกย่องในฐานันดรศักดิ์ เป็นการแสดงจิตใจที่พลอยยินดีให้ปรากฏ
ระเบียบพิธีด้วยความมุ่งหมายและเหตุผลของการทำสามีจิกรรมดังกล่าวข้างต้นนี้จึงเกิดระเบียบพิธีทำสามีจิกรรมขึ้น โดยนิยมกันเป็นแบบๆ ดังนี้
๑.สามีจิกรรมแบบขอขมาโทษ นอกโรงอุโบสถหรือนอกวัด
ก) จัดเครื่องสักการะ คือ ดอกไม้ ธูป เทียน ใส่พานหรือภาชนะที่สมควร ธูปเทียนที่นิยมกันใช้ธูปเทียนที่มัดรวมกันเป็นแพธูปเทียนนั้น หรือจะใช้ดอกไม้ ธูปเทียนเป็นเล่มๆ หรือ เป็นดอกๆ ก็ได้ สุดแต่จะจัดได้
ข) ครองผ้าเรียบร้อยตามนิยมของวัดที่สังกัด ถ้าเป็นภิกษุพาดสังฆาฏิด้วย
ค) ถือพานดอกไม้ธูปเทียน ประคองสองมือเข้าไปหาท่านที่ตนจะขอขมา คุกเข่าลงตรงหน้าระยะห่างกันประมาณศอกเศษ วางพานทางซ้ายมือของตน กราบด้วยเบญจางคประดิษฐ์ ๓ ครั้ง แล้วยกพานขึ้นประคองสองมือแค่อก กล่าวคำขอขมาตามแบบนิยม
ฆ) เมื่อท่านที่ตนขอขมากล่าวคำให้อภัยโทษแล้ว พึงรับคำตามแบบนิยม ต่อนี้ ถ้าท่านที่ตนขอขมาให้พรต่อท้าย พึงสงบใจรับพรท่านจนจบ และรับด้วยคำว่า สาธุ ภนฺเต ถ้าไม่มีให้พรต่อหรือให้พรและรับพรเสร็จแล้ว พึงน้อมพานสักการะนั้นเข้าไปประเคน และกราบอีก ๓ ครั้ง เป็นเสร็จพิธีขอขมา
๒. สามีจิกรรมแบบถวายสักการะ
ก) จัดเตรียมเครื่องสักการะอย่างเดียวกับแบบขอขมา แต่ในกรณีนี้อาจเพิ่มเติมของใช้หรือสิ่งอื่นใดที่ควรแก่สมณบริโภคด้วยก็ได้
ข) ในแบบนี้ การทำไม่นิยมว่าผู้ที่ตนทำจะต้องแก่อาวุโสกว่าตนเหมือนในแบบขอขมาแม้ผู้นั้นอ่อนอาวุโสกว่า ก็ทำได้
ค) ครองผ้าเรียบร้อยดังกล่าวในเรื่องขอขมาถือเครื่องสักการะเข้าไปหาท่านที่ตนจะทำแล้วประเคนทันที ถ้าตนอ่อนอาวุโสกว่าพึงกราบ ๓ ครั้ง ถ้าแก่กว่าไม่ต้องกราบ เพียงแต่รับไหว้โดยนั่งพับเพียบประนมมือในเมื่อผู้อ่อนกว่ากราบ เท่านี้เป็นอันเสร็จพิธี
การทำสามีจิกรรม เป็นธรรมเนียมของสงฆ์ที่พึงทำต่อกันเพื่อความสามัคคี อยู่ร่วมกันด้วยความสงบสุข หมายถึงการขอขมาโทษ ให้อภัย การแสดงความเคารพของพระสงฆ์ในระหว่างพระผู้ใหญ่กับพระผู้น้อย เช่นระหว่างพระอุปัชฌาย์กับสัทธิวิหาริก หรือระหว่างผู้ปกครองกับผู้อยู่ใต้ปกครอง เป็นต้น
-----------------------------------
เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ.2553 พระภิกษุ-สามเณรที่จำพรรษา ณ วัดทุ่งเซียด หมู่ที่ 1 ตำบลท่าโรงช้าง อำเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้ไปทำสามีจิกรรมพระมหาเถระของจังหวัดสุราษฎร์ธานี มีรายละเอียด ดังต่อไปนี้1. พระเทพสุธี เจ้าคณะภาค 16 เจ้าอาวาสวัดไตรธรรมาราม 2. พระเทพพิพัฒนาภรณ์ เจ้าคณะจังหวัดสุราษฏร์ธานี เจ้าอาวาสวัดท่าไทร3. พระอุดมธรรมปรีชา รองเจ้าคณะจังหวัดสุราษฎร์ธานี วัดพระโยค
พระเทพสุธี เจ้าคณะภาค 16 เจ้าอาวาสวัดไตรธรรมาราม
พระเทพพิพัฒนาภรณ์ เจ้าคณะจังหวัดสุราษฏร์ธานี เจ้าอาวาสวัดท่าไทร
พระอุดมธรรมปรีชา รองเจ้าคณะจังหวัดสุราษฎร์ธานี วัดพระโยค