"ทศพิธราชธรรม : ธรรมของพระราชา ข้อปฏิบัติที่คนธรรมดาก็ทำได้"
เมื่อเอ่ยถึง ทศพิธราชธรรม อันมีความหมายถึง ราชธรรม หรือธรรมของพระราชา ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน ๑๐ ข้อ หลายคนอาจจะรู้สึกว่า ธรรมดังกล่าวเป็นของสูง หรือไกลตัว และควรจะเป็นเรื่องของพระราชา หรือผู้นำในระดับสูงเท่านั้น แต่โดยแท้จริงแล้ว แม้ทศพิธราชธรรม จะได้ชื่อว่าเป็นหลักธรรม หรือคุณสมบัติที่ผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน ตั้งแต่พระมหากษัตริย์ ผู้ปกครองรัฐ หรือผู้นำประเทศจะพึงปฏิบัติ แต่บุคคลธรรมดาเช่นเราๆท่านๆ ก็สามารถนำไปปฏิบัติได้ในชีวิตประจำวัน เพราะนอกจากจะเป็นหนทางไปสู่ความเจริญ ก้าวหน้าในชีวิตแล้ว ยังได้ชื่อว่าได้ดำเนินรอยตามเบื้องยุคลบาท ดังที่ ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา ได้เชิญชวนให้ประชาชนชาวไทยปฏิบัติ ตามพระราชจริยวัตรของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้วย ซึ่งแนวทางในการปฏิบัติตามทศพิธราชธรรมในระดับประชาชนเช่นเรา ควรจะเป็นเช่นไร กลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม ขอเสนอแนวคิดอีกทางหนึ่ง ดังต่อไปนี้
๑.ทาน คือ การให้
นอกเหนือจากการบริจาคเป็นทรัพย์สินหรือสิ่งของแก่ผู้ยากไร้ ผู้ด้อยโอกาส และผู้ตกทุกข์ได้ยากตามที่เราทำอยู่เสมอแล้ว เราก็อาจจะให้น้ำใจแก่ผู้อื่นได้ เช่น ให้กำลังใจแก่ผู้ตกอยู่ในห้วงทุกข์ ให้ข้อแนะนำที่เป็นความรู้แก่ผู้ร่วมงานหรือผู้ใต้บังคับบัญชา ให้รอยยิ้ม และปิยวาจาแก่ญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง รวมถึงบุคคลที่มารับบริการจากเรา เป็นต้น
๒.ศีล คือ ความประพฤติที่ดีงาม ตามหลักศาสนาของตน
อย่างน้อยก็ขอให้เราได้ปฏิบัติตามศีล ๕ คือ ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ไม่ลักขโมยของของผู้อื่น ไม่ล่วงละเมิดลูกเมียเขา ไม่พูดโกหก หรือพูดส่อเสียดยุยงให้คนเขาทะเลาะเบาะแว้งกัน และควรทำตนให้ห่างไกลจากเหล้า บุหรี่ หรืออบายมุขต่างๆ เพราะสิ่งเหล่านี้ นอกจากจะทำให้เราเสียเงินแล้ว ยังเสียสุขภาพกายและใจทั้งของตัวเราเอง และคนใกล้ชิดเราด้วย
๓.ปริจจาคะ คือ ความเสียสละ
หมายถึง การเสียสละความสุขส่วนตนเพื่อความสุขหรือประโยชน์ของส่วนรวม ซึ่งอาจจะเป็นครอบครัว หน่วยงาน หรือเพื่อนร่วมงานของเราก็ได้ เช่น ครอบครัว พ่อบ้านเสียสละความสุขส่วนตัวด้วยการเลิกดื่มเหล้า ทำให้ลูกเมียมีความสุข และเพื่อนบ้านก็สุขด้วย เพราะไม่ต้องฟังเสียงอาละวาด ด่าทอทุบตีกัน หรือเราอาจจะเสียสละเวลาอยู่เย็นช่วยเพื่อนทำงาน หรือไปเข้าค่ายพัฒนาชนบท อาสาไปดูแลเด็กในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเป็นครั้งคราว หรือเสียสละร่างกาย /อวัยวะหลังตายแล้วเพื่อการศึกษา เป็นต้น ซึ่งการเสียสละดังกล่าวถือว่าได้บุญมากเพราะมิใช่จะสละกันได้ง่ายๆ โดยทั่วไป การเสียสละไม่ว่าสิ่งใดก็ตาม ถือเป็นการลดความเห็นแก่ตัว ซึ่งล้วนมีส่วนช่วยให้สังคมดีขึ้นทั้งสิ้น
๔.อาชชวะ คือ ความซื่อตรง
หมายถึง ดำเนินชีวิตและปฏิบัติภารกิจ/หน้าที่การงานต่างๆด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ไม่คิดคดโกงหรือหลอกลวงผู้อื่น เช่น ถ้าเราขายของ ก็ไม่เอาของไม่ดีไปหลอกขายลูกค้า เป็นข้าราชการ พนักงานบริษัท ห้างร้าน ก็ไม่คอรัปชั่นทั้งเวลา ทรัพย์สินของหน่วยงานตน เพราะถ้าทุกคน เอาเปรียบหรือโกงกิน นอกจากจะทำให้หน่วยงานเราไม่เป็นที่น่าเชื่อถือของผู้เกี่ยวข้องแล้ว ในระยะยาว อาจทำให้หน่วยงานเราล้ม ผู้ที่เดือดร้อนก็คือเรา แม้เราจะได้ทรัพย์สินไปมากมาย แต่เงินบาปที่ได้ก็จะเป็นสิ่งอัปมงคลที่ทำให้เราไม่เจริญก้าวหน้า ถูกคนรุมสาปแช่ง และแม้คนอื่นจะไม่รู้ แต่ตัวเราย่อมรู้อยู่แก่ใจ และไม่มีวันจะมีความสุขกาย สบายใจ เพราะกลัวคนอื่นจะมารู้ความลับตลอดเวลา ผู้ที่ประพฤติตนด้วยความซื่อตรง แม้ไม่ร่ำรวยเงินทอง แต่จะมั่งคั่งด้วยความมิตรที่จริงใจ ตายก็ตายตาหลับ ลูกหลานก็ภาคภูมิใจ เพราะไม่ต้องแบกรับความอับอายที่มีบรรพบุรุษขี้โกง
๕.มัททวะ คือ ความสุภาพอ่อนโยน มีอัธยาศรัยไมตรี
กล่าวคือ การทำตัวสุภาพ นุ่มนวล ไม่เย่อหยิ่ง ถือตัว หรือหยาบคายกับใคร ไม่ว่าจะเป็นผู้ใหญ่ ผู้น้อยหรือเพื่อนในระดับเดียวกัน การทำตัวเป็นผู้ที่มีความอ่อนน้อมถ่อมตน จะทำให้ไปที่ไหนคนก็ต้อนรับ เพราะอยู่ใกล้แล้วสบายใจ ไม่ร้อนรุ่ม หากเราหยาบคาย ก้าวร้าว คนก็ถอยห่าง ดังนั้น หลักธรรมข้อนี้ จึงเป็นการสร้างเสน่ห์อย่างหนึ่งให้แก่ตัวเราด้วย
๖.ตปะ คือ ความเพียร
เป็นหลักธรรมที่สอนให้เราไม่ย่อท้อ แต่ให้ปฏิบัติหน้าที่การงานด้วยความมุมานะ ฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆจนประสบความสำเร็จ ซึ่งความพากเพียรนี้จะทำให้เราภาคภูมิใจเมื่องานสำเร็จ และจะทำให้เรามีประสบการณ์เก่งกล้าขึ้น นอกจากนี้ ยังสอนให้เราสู้ชีวิต ไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ
๗.อักโกธะ คือ ความไม่โกรธ
แม้ในหลายๆสถานการณ์จะทำได้ยาก แต่หากเราสามารถฝึกฝน ไม่ให้เป็นคนโมโหง่าย และพยายามระงับยับยั้งความโกรธอยู่เสมอ จะเป็นประโยชน์ต่อเราหลายอย่าง เช่น ทำให้เราสุขภาพจิตดี หน้าตาผ่องใส ข้อสำคัญ ทำให้เรารักษามิตรไมตรีกับผู้อื่นไว้ได้ อันมีผลให้คนรักและเกรงใจ
๘.อวิหิงสา คือ การไม่เบียดเบียน
หรือบีบคั้นกดขี่ผู้อื่น รวมไปถึง การไม่ใช้อำนาจไปบังคับ หรือหาเหตุกลั่นแกล้งคนอื่นด้วย เช่น ไม่ไปข่มเหงรังแกผู้ด้อยกว่า ไม่ไปข่มขู่ให้เขากลัวเราหรือไปบีบบังคับเอาของรักของหวงมาจากเขา เป็นต้น นอกจากไม่เบียดเบียนคนด้วยกันแล้ว เรายังไม่ควรเบียดเบียนธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และสัตว์อีกด้วย เพราะมิฉะนั้น ผลร้ายจะย้อนกลับมาสู่เรา และสังคม อย่างที่เห็นในปัจจุบันจากภัยธรรมชาติต่างๆ
๙.ขันติ คือ ความอดทน
หมายถึง ให้เราอดทนต่อความยากลำบาก ไม่ท้อถอย และไม่หมดกำลังกาย กำลังใจที่จะดำเนินชีวิต และทำหน้าที่การงานต่อไปจนสำเร็จ รวมทั้งไม่ย่อท้อต่อการทำคุณงามความดี ความอดทนจะทำให้เราชนะอุปสรรคทั้งปวงไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ และจะทำให้เราแกร่งขึ้น เข้มแข็งขึ้น
๑๐.อวิโรธนะ คือ ความยุติธรรม หนักแน่น ถือความถูกต้อง เที่ยงธรรมเป็นหลัก
ไม่เอนเอียงหวั่นไหวด้วยคำพูด อารมณ์ หรือลาภสักการะใดๆ ทั้งในทางนิติธรรม คือ ระเบียบแบบแผนหลักปกครอง หรือในเรื่องขนบธรรมเนียมประเพณีที่ดีงาม ก็ไม่ประพฤติ ให้ผิดทำนองคลองธรรม กล่าวคือ ให้ทำอะไรด้วยความถูกต้อง มิใช่ด้วยความถูกใจ
จะเห็นได้ว่า หลักธรรมทั้ง ๑๐ ข้อ หรือทศพิธราชธรรม นี้ มิใช่ข้อปฏิบัติที่ยากจนเกินความสามารถของคนธรรมดาสามัญที่จะทำตามได้ หลายๆข้อก็เป็นสิ่งที่เราปฏิบัติอยู่แล้ว จะโดยรู้ตัวไม่ก็ตาม แต่หากเรามีความตั้งใจจริง หลักธรรมดังกล่าวก็จะเป็นทุนที่ช่วยหนุนนำให้เราได้พัฒนาชีวิตไปสู่ความดี งาม ความมั่นคง และความสำเร็จที่เราปรารถนาทุกประการ ข้อสำคัญ ยังเป็นการน้อมถวายความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในวโรกาส ครองราชย์ครบ ๖๐ ปี ด้วยการประพฤติปฏิบัติที่มีคุณค่าทั้งต่อตนเอง ครอบครัว สังคม และประเทศชาติอีกด้วย
โดย คุณ อมรรัตน์ เทพกำปนาท กลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม
__________________
ขอบคุณที่มา http://board.palungjit.com