ตถตาอาศรม ริมฝั่งโขง
๑๐ กันยายน ๒๕๕๓
.....รอยทาง.....
ช่วงนี้ฝนหยุดตกมาหลายวันแล้ว ตื่นเช้าตามเวลาปกติ ทำกิจวัตรส่วนตัวเสร็จแล้ว
ไหว้พระสวดมนต์ นั่งสมาธิเจริญภาวนา จนได้เวลาจึงลงไปทำกิจวัตรของสงฆ์ในภาคเช้าตามปกติ
เสร็จกิจวัตรในภาคเช้า เก็บสบง จีวร อังสะ ผ้าอาบน้ำฝนไปซัก เพราะที่ผ่านมานั้นครึ้มฟ้าครึ้มฝน
ไม่มีแสงแดดมาหลายวัน วันนี้อากาศดีจึงถือโอกาศเก็บผ้าทั้งหมดไปซัก เสร็จจากซักผ้าตากผ้าแล้ว
กลับขึ้นศาลาที่พัก อ่านหนังสือพระไตรปิฏก ฟังธรรมะบรรยายของครูบาอาจารย์ ตั้งแต่ตอนเที่ยงๆ
จนถึงเวลาเย็น เพราะวันนี้ไม่ได้ทำงานก่อสร้างหยุดพักกันหนึ่งวัน จึงได้มีเวลาพักผ่อน อ่านหนังสือ
ฟังธรรมเกือบทั้งวัน ตอนเย็นลงไปทำกิจวัตรของสงฆ์ตามปกติ หลังจากไหว้พระสวดมนต์ทำวัตรเย็นแล้ว
ก็กลับที่พัก มาเจริญสติภาวนาต่อ จนได้เวลาจึงได้จำวัตรพักผ่อน
.....รอยธรรม.....
ได้มีเวลาค้นคว้าศึกษาพระไตรปิฏก ทำความรู้ความเข้าใจในหัวข้อธรรม ที่ยังสงสัย
ไม่เข้าใจในภาษาธรรม ปรับให้เป็นภาษาพูดเพื่อให้เข้าใจได้ง่าย ในการที่จะเอาไปนำเสนอเผยแผ่ั
เพราะถ้าใช้คำศัพท์ภาษาธรรมนั้น จะทำให้ผู้ฟังจะเข้าใจได้ยาก บางครั้งฟังแล้วยิ่งเกิดความสงสัย
ไม่เข้าใจมากขึ้น เพราะติดอยู่กับความหมายของคำศัพท์ในภาษาธรรม และบางครั้งก็อาจจะตีความ
แปลความหมายของคำศัพท์นั้นผิดพลาดไป จึงต้องใช้ภาษาที่เรียบง่าย เพื่อให้ฟังสบายๆง่ายแก่การ
ที่จะเข้าใจและทำให้ดูว่าไม่เป็นพิธีการจนเกินไป การฟังธรรม พิจารณาธรรม ทำให้เข้าใจสภาวะธรรม
จิตปรุงแต่งในกิเลส คือจิตเริ่มคิดก่อน คิดชอบ คิดไม่ชอบ เมื่อความคิดเกิดจึงปรุงแต่งให้เกิด
กิเลส ความโกรธ โลภ หลง เมื่อกิเลสเกิดขึ้นและเราไม่มีสติสัมปชัญญะพอจะดับกิเลส มันก็ปรุงแต่งจิต
ให้คิดวุ่นวายไปเรื่อย ไม่ผ่องใส พอจิตมันคิดปรุงแต่ง มันก็จะปรุงให้กิเลสเพิ่มขึ้นๆ จนกว่าเราจะได้สติ
มันจึงจะหยุดปรุง
การปฏิบัติธรรมนั้น อย่าไปอยากรู้อยากเห็นอยากเป็นในสิ่งใดๆ ให้มันรู้อยู่อย่างเดียว มีอะไรก็ช่าง
รู้อยู่อย่างเดียว ความอยากนั้นทำให้จิตวุ่นวาย หลุดออกจากสมาธิ เราปฏิบัติเพื่อความปล่อยวาง เพื่อจะละ
จะลดซึ่งความยึดมั่นถือมั่นต่างๆให้เบาบางลง เพื่อละความยินดียินร้าย เราเป็นผู้ดูไม่ใช่ผู้บังคับให้มันเป็น
การมีสติรู้ตัวทั่วพร้อมอยู่ทุกขณะจิตนั้น เรียกว่ากำลังทำความเพียร กำลังปฏิบัติธรรม ไม่จำเป็นว่า
จะต้องนั่งสมาธิหรือเดินจงกรมจึงจะเรียกว่าปฏิบัติธรรมทำความเพียร ถ้าไม่มีสติระลึกรู้ ฟุ้งซ่านคิดไปเรื่อย
ก็ไม่เรียกว่าทำความเพียร แม้จะนั่งสมาธิหรือเดินจงกรมอยู่ก็ตาม เมื่อไหร่ที่จิตนั้นมีสติรู้ตัวทั่วพร้อมอยู่
ไม่ว่าจะยืน จะเดิน จะนั่งจะนอน ก็ได้ชื่อว่ากำลังปฏิบัติธรรมทำความเพียรอยู่
.....รอยกวี.....
มองโลก และมองธรรม แล้วน้อมนำ มาปรับใช้
กับสิ่ง ที่เป็นไป เพื่อจะให้ เหมาะกับกาล
สติ ระลึกรู้ การตามดู จิตเป็นงาน
รู้ตน รู้ประมาณ นั้นคือการ ประพฤติธรรม
รู้กาย และรู้จิต รู้ที่คิด รู้ที่ทำ
รู้ชอบ ประกอบกรรม ประพฤติธรรม คือความดี
ความดี เริ่มที่จิต เริ่มจากคิด ไม่ผิดที่
คิดดี และพูดดี เป็นตัวชี้ การกระทำ
รู้ธรรม และเห็นธรรม ถ้าไม่ทำ ก็ก่อกรรม
รู้แล้ว ไม่น้อมนำ มากระทำ ก็เสียงาน
รอยทางและรอยธรรม ได้น้อมนำ ธรรมกล่าวขาน
บอกเล่า ประสพการณ์ ที่ได้ผ่าน มาชี้แจง
มากมาย หลายมุมมอง ที่ทดลอง มาแถลง
บอกเล่า ความเปลี่ยนแปลง ทุกหนแห่ง ที่พบมา
ให้รู้ และให้คิด ให้พินิจ ให้ศึกษา
เสริมสร้าง ทางปัญญา เพิ่มคุณค่า ให้แก่ตน
เป็นคน ควรจะคิด ให้ชีวิต มีเหตุผล
คุ้มค่า คำว่าคน ควรสร้างผล ในทางดี
............................................
ด้วยความปรารถนาดีและไมตรีจิต
รวี สัจจะ-สมณะไร้นาม
๑๐ กันยายน ๒๕๕๓ เวลา ๑๕.๓๑ น. ณ ศาลาน้อยริมน้ำโขง ชายขอบประเทศไทย