ตถตาอาศรม ริมฝั่งโขง
๑๖ กันยายน ๒๕๕๓
.....รอยทาง.....
ตื่นนอนตามเวลาปกติ ทำกิจวัตรส่วนตัวแล้ว ไหว้พระสวดมนต์ นั่งสมาธิเจริญภาวนา
จนได้เวลาจึงลงไปทำกิจวัตรของสงฆ์ในภาคเช้าตามปกติ ตอนสายๆลงไปปลูกต้นไม้ที่ได้ขุดล้อมไว้
จากหน้าพระธาตุย้ายไปปลูกที่ใหม่ เป็นต้นพิกุลอายุประมาณ ๑๐ ปี จำนวน ๘ ต้น ซึ่งต้องใช้กำลังคน
ในการขนย้ายและการปลูกใหม่ กว่าจะเสร็จก็ประมาณเที่ยง แสงแดดดีเลยเอาผ้าห่ม ที่นอนและหมอน
ที่มีไว้สำหรับต้อนรับญาติโยมออกไปตากแดด เพราะว่าฝนตกมาหลายวันอากาศชื้นและกลัวผ้าจะขึ้นรา
จึงนำออกมาตากให้แห้งสนิท เสร็จแล้วมาอ่านหนังสือธรรมะคำสอนของหลวงพ่อชาและฟังธรรมบรรยาย
ของหลวงพ่อชาท่านด้วย ตอนเย็นหมดแดดเก็บผ้าผับผ้าจัดเก็บเรียบร้อยแล้ว ลงไปดูงานก่อสร้างแท็งค์น้ำ
เอาน้ำยากันซึมไปให้ช่างผสมปูน เพื่อป้องกันน้ำรั่วน้ำซึมเวลาสร้างเสร็จและเก็บน้ำแล้ว จนได้เวลาไหว้พระ
ทำวัตรเย็น จึงลงไปทำกิจวัตรของสงฆ์ตามปกติ เสร็จแล้วกลับขึ้นมาปฏิบัติบนศาลาที่พักต่อ
.....รอยธรรม.....ธรรมะและหลักธรรมต่างๆนั้น เราเคยรู้เคยเข้่าใจเคยได้ประสพมา ถ้าเราไม่หมั่นรักษาและ
ปฏิบัติทบทวนอยู่อย่างสม่ำเสมอ อาจจะทำให้หลงลืมไป จึ่งต้องพยายามใคร่ครวญทบทวนอยู่ให้เนืองนิจ
ได้อ่านบันทึกธรรมเก่าๆที่เคยเขียนไว้และอ่านหนังสือธรรมบรรยายของครูบาอาจารย์ เป็นการทบทวนความรู้
เพราะว่าในขณะที่เราอ่านหรือฟังนั้น เราต้องตั้งสติและมีสมาธิในการฟังและการอ่าน ต้องน้อมจิตตามธรรมะ
ที่กำลังรับรู้ ได้พิจารณาใคร่ครวญตาม จึงเป็นการปฏิบัติธรรมไปในตัว ครบองค์ ๓ในไตรสิกขา ศีล สมาธิ ปัญญา
และเมื่อเราได้อ่านได้ฟังซ้ำๆกันหลายครั้ง ได้คิดพิจารณาอยู่บ่่อยๆในหัวข้อธรรมนั้นๆ มันจะเกิดมุมมองที่กว้างขึ้น
ทุกครั้ง ได้รู้และเข้าใจละเอียดไปยิ่งขึ้น จากที่เคยรู้เคยเข้าใจมาก่อน นั้นคืออานิสงส์ของการฟังธรรมศึกษาธรรมะ
คือทำให้เราได้รู้ได้เห็นในความโง่ ความหลงของเรา เห็นกิเลสของตัวเราเอง อย่างที่ได้เคยกล่าวไว้ว่า การปฏิบัติ
ธรรมนั้น ไม่ได้ทำให้เราฉลาดขึ้น เก่งขึ้น หรือทำให้เราดีกว่าผู้อื่น เก่งกว่าผู้อื่น เพราะถ้าเราไปคิดอย่างนั้นมันจะเป็น
การสร้างมานะทิฏฐิเพิ่มอัตตาแก่ตัวเราเอง แต่การปฏิบัติธรรมนั้นทำให้เรารู้และเข้าใจในตัวของเราเอง เห็นความโง่
ความหลง ความผิดพลาดและกิเลสทั้งหลายที่มีอยู่ในตัวของเราเอง ซึ่งเราต้องรู้ต้องเห็นและเข้าใจในสิ่งนั้นเสียก่อน
จึงจะเข้าไปลด ละเลิก มันได้
ธรรมจากหลวงพ่อชาแห่งวัดหนองป่าพง
" เราเคยเรียนธรรมะในกระดาษ รู้ธรรมะตามกระดาษ สอบความรู้ในกระดาษและท่านก็รับรองความรู้ด้วยกระดาษ
ซึ่งเราเคยผ่านมาแล้ว เมื่อเรามาปฏิบัติก็จะทราบได้เองว่า ธรรมะที่เกิดจากสัญญา (เรียน จำได้) กับธรรมะที่เกิดจาก
การภวนา มันต่างกันมากอยู่ มันมีความหมายละเอียดต่างกัน....มันเหมือนกับคนหนึ่งมีรูปม้าหลายๆแผ่น อีกคนหนึ่ง
มีม้าอยู่ตัวเดียว ถึงคราวออกเดินทาง คนที่มีม้าตัวเดียวยังดีกว่าคนที่มีรูปม้าหลายแผ่น เพราะอันหนึ่งมันใช้ได้ อันหนึ่งใช้ไม่ได้
เรื่องนี้ผู้มาประพฤติปฏิบัติย่อมรู้เองได้ ไม่ใช่เรื่องบอกกัน "
.....รอยกวี.....
น้อมนำ เอาคำสอน
อุทาหรณ์ แต่ก่อนเก่า
มากล่าว เพื่อบอกเล่า
ให้พวกเรา ได้เข้าใจ
ธรรมะ ธรรมชาติ
ธรรมประกาศ แถลงไข
ธรรมะ ที่เป็นไป
ธรรมนั้นไซร้ อยู่รอบกาย
ธรรมะ คือความจริง
สรรพสิ่ง มีความหมาย
ธรรมะ มีมากมาย
อยู่รอบกาย ที่พบเจอ
เพียงเรา นั้นครวญคิด
มีสติ อยู่เสมอ
ไม่หลง และเผลอเรอ
ก็จะเจอ กับความจริง
ความจริง คือสัจจะ
เป็นธรรมะ ประเสริฐยิ่ง
อยู่ใน สรรพสิ่ง
คือความจริง ในจิตเรา
เห็นกาย และเห็นจิต
เห็นความคิด ที่โง่เขลา
รู้ใน กายใจเรา
ไม่มัวเมา กามารมณ์
เอาธรรม นำความคิด
กุศลจิต เข้ามาข่ม
หักห้าม กามารมณ์
ให้ชื่นชม กุศลธรรม
เมื่อจิต เป็นกุศล
ก็หลุดพ้น จากบาปกรรม
สิ่งชั่ว ไม่กระทำ
กุศลนำ สู่ทางดี
ทางดี ของชีวิต
อยู่ที่จิต นั้นคิดดี
คิดดี และทำดี
เพียงเท่านี้ ก็สุขใจ...
ด้วยความปรารถนาดีและไมตรีจิต
รวี สัจจะ-สมณะไร้นาม
๑๖ กันยายน ๒๕๕๓ เวลา ๑๐.๓๕ น. ณ ศาลาน้อยริมน้ำโขง ชายขอบประเทศไทย