พระธาตุเจดีย์ศรีมุกดานาคาพิทักษ์ วัดทุ่งเว้า มุกดาหาร
ตถตาอาศรม ริมฝั่งโขง
๑ ตุลาคม ๒๕๕๓
.....รอยทาง.....
ช่วงนี้เก็บตัวอยู่บนศาลางดการคลุกคลีกับหมู่คณะ ตื่นนอนประมาณตีสามกว่าๆ
ไหว้พระสวดมนต์ทำวัตรเช้า นั่งสมาธิเจริญสติภาวนา แผ่เมตตา อธิษฐานจิต แล้ววันทาลาพระ
ตอนประมาณ ๐๕.๓๐ น. ลงไปกวาดลานวัด เพราะช่วงนี้ลมพัดแรงใบไม้ร่วงมาก กวาดจนถึง
เวลาประมาณ ๐๙.๐๐ น.กลับขึ้นศาลาที่พักฉันกาแฟ เขียนบันทึก" รอยทางและรอยธรรม "
เสร็จแล้วจึงฉันข้าว ตอนบ่ายลงไปถอนหญ้าดายหญ้าในลานวัด เพราะว่าฝนตกมาหลายวัน
ทำให้หญ้าขึ้นเกือบเต็มลานวัด ทำให้กวาดลานวัดยาก รู้อยู่ว่าเป็นอาบัติ " พรากของเขียว "
แต่เมื่อไม่มีใครทำก็จำเป็นที่จะต้องทำเอง ค่อยไปแสดงอาบัติเอาทีหลัง ทำให้เสร็จเสียก่อน
นึกถึงคำสอนของหลวงพ่อชาเรื่อง " การปล่อยวางกับการทอดทิ้งธุระ " จึงจำเป็นที่ต้องทำ
เสร็จเวลาประมาณ ๑๗.๓๐ น. จึงไปสรงน้ำแล้วกลับขึ้นมาพักผ่อนบนศาลา ได้เวลาจึงไหว้พระ
สวดมนต์ทำวัตรเย็น นั่งสมาธิ เจริญสติภาวนา สมควรแก่เวลาจึงได้หยุดพัก เปิดดูบอร์ดของวัด
บางพระ ตอบปัญหาข้อสงสัยที่มีญาติโยมถามมา จนสมควรแก่เวลาจึงได้เข้าจำวัตรพักผ่อน
นอนพิจารณาร่างกาย ดูกายตนเองจนหลับไป
.....รอยธรรม.....
พิจารณาถึงความเบื่อหน่ายที่เกิดขึ้น พบว่าลึกๆในความรู้สึกเช่นนั้น มันมี
สาเหตุมาจาก การที่เราทำงานหนักมาตลอดเวลา ๖ ปีกว่า ตั้งแต่มาบูรณะวัดทุ่งเว้าแห่งนี้
จากวัดร้างที่ไม่มีอะไร มาสร้างใหม่หมดเกือบทุกอย่าง ต้องเดินทางและทำงานตลอดเวลา
เพื่อหาปัจจัยมาสร้างวัดและดูแลหมู่คณะ ไม่มีเวลาปลีกวิเวกออกเดินธุดงค์อย่างที่เคยทำมา
และอีกอย่างหนึ่งก็คือการบูรณะวัดทุ่งเว้านั้น ใกล้จะเสร็จสมบูรณ์แล้ว และมีความคิดที่จะจากไป
หาที่อยู่แห่งใหม่ มันเลยทำให้เกิดความเบื่อหน่ายต่อสถานที่และบุคคลรอบข้าง ต้องการความสงบ
สรุปสาเหตุที่เป็นเช่นนี้ได้ว่า " จิตกลับไปติดอยู่กับอารมณ์ของสมาธิ พึงพอใจอยู่ในความสงบ "
เพราะช่วงนี้เข้าสมาธิบ่อยมาก เวลาที่ร่างกายอ่อนเพลีย เราใช้การเข้าสมาธิเพื่อปรับธาตุให้ร่างกาย
จึงเผลอไปติดในความสงบ ความวิเวกทางจิต ลืมพิจารณาธรรม กำลังของสติมากเกินไปจึงติดอยู่ใน
อารมณ์ของสมาธิ สัมปชัญญะตามสติไม่ทัน อารมณ์ของวิปัสสนาจึงขาดหายไป
เมื่อรู้ เห็น เข้าใจ ในสิ่งที่เป็น จึงต้องมาเริ่มใหม่ เพิ่มกำลังของสัมปชัญญะให้มากขึ้น
ให้เกิดความพอดีพอเหมาะกับกำลังของสติและกำลังของสมาธิ บางครั้งผงเข้าตาตนเองเราเอาออกไม่ได้
ทั้งที่เรื่องนนี้เราเคยบรรยายให้ผู้ปฏิบัติธรรมฟังมาแล้ว แต่พอเราเผลอ มันกลับมาเล่นงานตัวเราเองจนได้
ธรรมะที่เคยบรรยายเกียวกับเรื่องนี้
...ศรัทธามาก ปัญญาหย่อน ความโลภจะเข้าครอบงำจิต
...ปัญญามาก แต่ศรัทธาหย่อน ความสงสัยลังเลจะเข้าครอบงำ
...วิริยะกล้า สมาธิหย่อน ความฟุ้งซ่านจะเข้าครอบงำ
...สมาธิกล้า วิริยะหย่อน ความง่วงจะเข้าครอบงำ
...สมาธิกล้า สัมปชัญญะหย่อน วิปัสสนาจะหายไป
...สติและสัมปชัญญะ เป็นตัวเข้าไปปรับอินทรีย์พละให้เสมอกัน
องค์คุณ ๓
...อาตาปี...เพียรตั้งใจจริง
...สติมา...มีสติระลึกรู้เท่าทันอารมณ์
...สัมปชาโณ...มีความรู้ตัวทั่วพร้อมทุกขณะ
นี้คือธรรมะที่เคยบรรยายสอนผู้อื่นมาแล้ว แต่ในวันนี้ เวลานี้เรากลับหลงลืมไป ต้องมาทบทวนใหม่
เพื่อให้ทุกอย่างเกิดความพอดี แล้วความเบื่อทั้งหลายนี้ก็จะหมดไป
.....รอยกวี.....
ในบางครั้ง...
ขณะที่เรากำลังก้าวเดินไปข้างหน้า
เรามักจะคิดว่าทางที่เดินมานั้นมันตรง
แต่เมื่อเราหันกลับไปมองรอยทางที่เดินมา
จึงได้รู้ว่าทางที่เดินมานั้นมันไม่ตรง
เพราะเราหลงเข้าใจผิดคิดว่ามันตรง
มองไปข้างหน้าอย่างเดียวลืมเหลียวกับมาดูข้างหลัง
โบราณท่านกล่าวไว้ว่า....
สื่เท้ายังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง
เพราะว่าทุกคนนั้นยังไม่หมดกิเลส
ยังหนาแน่นไปด้วยอัตตามานะทิฏฐิ
ยึดถือเอาความคิดของตนเองเป็นใหญ่
คิดว่าสิ่งที่ตนนั้นทำไปถูกต้องเสมอ
อัตตาและมานะทิฏฐิคือเหตุแห่งความประมาท
สติและสัมปชัญญะ...
เป็นตัวเข้าไปลดละซึ่งอัตตาและมานะทิฏฐิ
มีหิริและโอตตัปปะเป็นเครื่องเตือนสติ
มีทาน ศีล ภาวนา เป็นเครื่องพาไปสู่กุศล
เพื่อความหลุดพ้นออกจากกองทุกข์
ให้พบกับความสุขในรสพระธรรม
น้อมนำชีวิตไปสู่สุคติเป็นนิมิตหมาย
...สิ่งนั้นคือปลายทางของชีวิต...
.......................
ด้วยความปรารถนาดีและไมตรีจิต
รวี สัจจะ-สมณะไร้นาม
๑ ตุลาคม ๒๕๕๓ เวลา ๐๙.๒๐ น. ณ ศาลาน้อยริมน้ำโขง ชายขอบประเทศไทย