ผู้เขียน หัวข้อ: วิธีพิจารณาร่างกายให้เห็นสภาพตามความเป็นจริง  (อ่าน 2138 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ NONGEAR44

  • นวมะ
  • ****
  • กระทู้: 669
  • เพศ: ชาย
    • MSN Messenger - en2005f@hotmail.com
    • ดูรายละเอียด
                                                              วิธีพิจารณาร่างกายให้เห็นสภาพตามความเป็นจริง

ถาม : จะพิจารณาร่างกายอย่างไร เพื่อให้เห็นสภาพตามความเป็นจริง ?

ตอบ : ต้องพิจารณาร่างกายให้เห็นสภาพตามความเป็นจริง ๔ อย่างคือ ประกอบด้วยดิน ด้วยน้ำ ด้วยลม ด้วยไฟ เป็นปกติอย่างนั้น

ส่วนที่แข็ง เป็นแท่ง เป็นก้อน เป็นชิ้น เป็นอัน จับได้ ต้องได้คือ ธาตุดิน มี ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ กระดูก เส้นเอ็น ตับ ไต ไส้ ปอด อวัยวะภายในใหญ่น้อย ทั้งหลายทั้งปวง

ส่วนที่เหลวไป ไหลมาได้ เรียกว่า ธาตุน้ำ คือ เลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง น้ำตา น้ำลาย น้ำดี เหงื่อ ไขมันเหลว ปัสสาวะ เหล่านี้เป็นต้น


ส่วนที่พัดเคลื่อนไปมาในร่างกายเรียกว่าธาตุลม ก็คือ ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก ลมที่อยู่ในท้องในไส้ ที่เรียกว่าแก๊ส ลมที่พัดขึ้นเบื้องสูง พัดลงเบื้องต่ำ พัดไปทั่วร่างกาย ที่เรียกว่าความดันโลหิต

ส่วนที่ให้ความอบอุ่นในร่างกาย เรียกว่า ธาตุไฟ ได้แก่ ไฟธาตุที่ช่วยสันดาปย่อยอาหาร ไฟธาตุที่กระตุ้นร่างกายให้เจริญเติบโต ไฟธาตุที่เผาผลาญร่างกายของเราให้ทรุดโทรมลง เป็นต้น

พอลักษณะ ๔ อย่างนี้ แยกออกมา ต่างคนต่างอยู่ กองนี้เป็นดิน กองนี้เป็นน้ำ กองนี้เป็นลม กองนี้เป็นไฟ เราจะเห็นชัดเลยว่าไม่มีส่วนไหนเป็นเรา เป็นของเราเลย

แต่ถ้าเอา ๔ ส่วนนี้รวมกันเข้าไปใหม่ ขยำๆ ปั้นขึ้นมา ใส่หัว หู หน้าตาลงไป ทันทีที่จิตคือตัวเราเข้าไปจับ เราก็ไปยึดว่า ร่างกายนี้เป็นเรา เป็นของเรา เพราะฉะนั้น สภาพแท้จริง ๔ อย่างคือ ดิน น้ำ ไฟ ลม นี้ มีให้เราอาศัยอยู่ชั่วคราวเท่านั้น ถึงเวลาก็เสื่อมสลายตายพังไป วัตถุทั้งหลายเหล่านี้ เรายืมโลกมาใช้แค่ชั่วคราว

มารยาทของการยืม ก็ต้องดูแลรักษาให้ดี เขาหิวก็หาให้กิน เขากระหายก็หาให้ดื่ม เขาร้อนก็หาเครื่องบรรเทาให้ เขาหนาวก็หาเสื้อผ้าให้นุ่งห่ม เขาเจ็บไข้ได้ป่วยก็รักษาพยาบาลไป เพื่อถึงเวลาจะได้คืนเขาไปในสภาพที่ดีที่สุดเท่าที่จะพึงมีพึงเป็น แต่ถ้าหากว่าเขาพังลงไปเมื่อใด เราก็พร้อมที่จะไปพระนิพพานของเรา อยู่กับเขาอย่างมีสติ รู้อยู่เสมอ ว่าร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา

เขาเหมือนกับรถยนต์คันหนึ่ง ที่เราเป็นคนขับไปเรื่อย พอถึงเวลาเราก็ทิ้งรถคันนั้นไปเพื่อเปลี่ยนรถคันใหม่ ถ้าทำความดีไว้ ก็ได้รถยี่ห้อดีๆ ใหม่ๆ อย่างเช่นเทวดา เป็นพรหม หรือดีที่สุดก็เข้าพระนิพพานไปเลย ถ้าทำสิ่งที่ไม่ดีไว้มาก ก็ได้รถโปเก พังๆ ผุๆ ก็อย่างเช่น สัตว์นรก เปรต อสุรกาย หรือสัตว์เดรัจฉาน เป็นต้น

ต้องมี สติ รู้อยู่ตลอดเวลาว่า สภาพแท้จริงของร่างกายเป็นอย่างนี้ เสร็จแล้วก็ถามตัวเองว่า ร่างกายที่เต็มไปด้วยความทุกข์ เช่นนี้ ไม่มีอะไรจีรังยั่งยืนอย่างนี้ มีแต่สภาพเป็นแท่ง เป็นก้อน เป็นชิ้น เป็นอันอย่างนี้ เรายังอยากได้อีกไหม ? เรายังรัก ยังปรารถนาอีกไหม ?

ถ้าตัวเรา เรายังไม่รัก ไม่ปรารถนาอีกแล้ว เราจะไปต้องการคนอื่นไว้ทำอะไร ในเมื่อต่างคนก็ต่างเกิด ต่างคนก็ต่างเจ็บ ต่างคนก็ต่างตาย ถึงเวลาก็ต่างคนต่างไป ดังนั้น..เราก็ควรที่จะยึดเกาะในสิ่งที่ดีที่สุด สมบูรณ์ที่สุดเท่าที่จะพึงมีพึงได้ตามที่พระพุทธเจ้าสอน ก็คือ พระนิพพาน ไว้แทน

ร่างกายนี้เราอาศัยอยู่เพื่อประกอบความดีเท่านั้น ถึงเวลาถ้าตายลงไป เราขอไปนิพพาน ให้ตั้งใจไว้อย่างนี้ แล้วพยายามพิจารณาดูบ่อยๆ


แรกๆ เราบอกร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา นั้นพูดยาก จิตใจไม่ค่อยจะยอมรับ แต่ถ้าเราแยกออกเป็นส่วนๆ อย่างนี้ แยกเข้า แยกออก แยกออก แยกเข้าอยู่บ่อยๆ จนกระทั่งเห็นชัดเจน ก็จะยอมรับเองว่าร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไปทีละน้อย


แรกๆ เราต้องใส่รายละเอียดให้มากที่สุด ค่อยๆ ดูไปทีละส่วน ๆ หลังจากที่ดูจนจิตเรายอมรับแล้ว เมื่อเราบอกว่า ร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา จิตยอมรับเลยโดยไม่เถียงอีก โดยไม่ดื้ออีก ก็เป็นอันว่าใช้ได้

พยายามทบทวนรักษาอารมณ์นั้นไว้เรื่อยๆ ยากไปไหม ? ไม่ยากนะ..กรรมฐาน ๔๐..แค่ปล้ำกันแทบตายเท่านั้น..!

สมัยก่อนทำได้ครั้งหนึ่งก็วิ่งไปอวดหลวงพ่อครั้งหนึ่ง หลังจากที่ซ้อมอนุสติ ๑๐ จน คล่องแล้ว ไปถึงก็กราบเรียนท่านว่า "หลวงพ่อครับ ตอนนี้อนุสติ ๑๐ ของผมสามารถไล่อารมณ์เต็มได้ภายในครึ่งชั่วโมง" หลวงพ่อบอกว่า "ยังใช้ไม่ได้ลูก..สมัยที่พ่อทำอยู่ กรรมฐาน ๔๐ กอง ถ้าต้องใช้เวลาถึง ๒ นาทีนี่แย่มากแล้ว..!"

โอ้โฮ...เราแค่ ๑๐ กอง ใช้เวลา ๓๐ นาที ถ้า ๔๐ กอง ท่านบอก ๒ นาทีนี่แย่มากแล้ว มาตอนหลังพอไล่ไปไล่มา อ๋อ..จริงของท่าน ถ้าเราต้องการจะทำในลักษณะที่หลวงพ่อว่าจริง ๆ ก็ตั้งอารมณ์ขึ้นมาให้ทรงฌานสูงสุดเท่าที่เราทำได้ เสร็จแล้วก็แค่เปลี่ยนกอง เปลี่ยนวิธีคิดนิดเดียวเอง อารมณ์ใจนั้นเต็มอยู่แล้ว ฉะนั้น ๒ นาทีคิด ๔๐ อย่างนี่ จัดว่าช้ามากเลย


สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๔

   ขอบคุณที่มา  เว็บบอร์ด  watthakhanun


ออฟไลน์ กวงเจา

  • สัตตมะ
  • **
  • กระทู้: 369
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงพ่อเปิ่นองค์เดียวกัน
    • ดูรายละเอียด
"สติตัวรู้" สำคัญยิ่งนัก!!!
ครั้งตอนผมบวช พระอาจารย์สายกรรมฐาน ท่านบอกกำหนดสติภาวนา "พุทโธ" ทุกอริยาบถ ให้จิตเกิดความเคยชิน
แล้วก็ไม่ต้องถามว่าภูมิจิตขั้นต่อไปของการภาวนาคืออะไร ถ้าอยากรู้ต้องทำเอง จะเกิดเป็นปัจจัตตังแก่ตัวเรา
ถ้าจิตเคยชินจนเกิดความชำนาญแล้ว ท่านก็ให้กำหนดรู้ที่กาย ดังคำอนุโลม-ปฏิโลมที่พระพุทธเจ้าทรงให้ปฏิบัติ ครั้นตอนบวชใหม่ว่า
เกสา-โลมา-นะขา-ทันตา-ตะโจ
ตะโจ-ทันตา-นะขา-โลมา-เกสา