ตถตาอาศรม ริมฝั่งโขง
๑๑ ตุลาคม ๒๕๕๓
.....รอยทาง.....
ทุกอย่างดำเนินไปตามปกติที่เคยเป็น ตื่นเช้าทำกิจวัตรของสงฆ์ตามเวลาปกติ
เสร็จแล้วออกไปกิจนิมนต์ในหมู่บ้าน เสร็จแล้วกลับมาดูงานถมดินปรับทางเข้าวัด ซึ่งเขามาส่งดิน
ผิดจากที่ได้สั่งไว้ จึงถมไปเพียง ๒ รถแล้วสั่งหยุดรอดินบ่อใหม่ ลงไปช่วยกันยาเรือหางยาวด้านใน
ซึ่งทำกันเสร็จตอนใกล้เที่ยง กลับที่พักฉันกาแฟ อ่านหนังสือ ทบทวนบทสวดมนต์บทต่างๆ ฟังธรรม
จนถึงเย็นได้เวลาทำกิจในภาคค่ำต่อไปตมที่เคยปฏิบัติมา จนสมควรแก่เวลา จึงได้จำวัตรพักผ่อน..
.....รอยธรรม......
" การมีสติรู้ตัวทั่วพร้อม เรียกว่าทำความเพียร ไม่จำเป็นว่าต้องนั่งสมาธิ เดินจงกรม
จึงจะเรียกว่าทำความเพียร ถ้าไม่มีสติรู้ตัว ฟุ้งซ่านไป คิดไปเรื่อย ก็ไม่เรียกว่าทำความเพียร ไม่ว่าจะอยู่
ในอิริยาบทใดจะยืน เดิน นัง นอน ถ้าเรามีสติรู้ตัวทั่วพร้อมอยู่ในขณะนั้น จึงเรียกว่าเรากำลังทำความเพียร "
" ให้มีสติอยู่กับ กาย เวทนา จิต ธรรม เอาจิตพิจารณาอยู่กับสิ่งทั้งสี่ืตลอดเวลา พิจารณาอย่างแยบคาย
ทำอย่างนี้ให้เป็นนิสัย จนกลายเป็นความเคยชิน เอาธรรมเป็นผู้ตัดสินในทุกสิ่งอยู่เสมอๆแล้วใจจะสบาย "
" การปฏิบัติธรรมนั้น เมื่อพอจะเริ่มรู้และเข้าใจในธรรม ให้ระวังตัวมานะทิฏฐิเป็นอย่างมาก เพราะจะหลง
ไปคิดว่า คนอื่นไ่ม่ดีเท่าเรา ไม่เก่งเท่าเรา เราดีกว่าผู้อื่น เก่งกว่าผู้อื่น จะทำให้ขาดความเคารพต่อครูบาอาจารย์
ลบหลู่ครูบาอาจารย์และผู้ปฏิบัติธรรมท่านอื่น แม้จะดูภายนอกอ่อนน้อมแต่จิตใจเย่อหยิ่ง มันเป็นจิตวิปลาส สัญญาวิปลาส "
" เมื่อเราเพียรเพ่งดูจิต ดูความคิด ให้จิตอยู่กับตนเองตลอดเวลา เราก็จะเข้าใจในสังขาร ร่างกายและจิตของเรา "
" ความว่างทางจิตนั้น คือความว่างจากอารมณ์ยินดี ยินร้าย แต่ไม่ว่างจากตัวรู้ ยังตามดูตามเห็น แต่จิตไม่ไปคิดปรุงแต่ง "
.....รอยกวี.....
วันเวลา ผ่านไป ไม่หยุดนิ่ง
สรรพสิ่ง ผันแปร และเปลี่ยนผัน
กาลเวลา ไม่หยุดนิ่ง ทุกคืนวัน
ความแปรผัน คือกฏ อนิจจัง
มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับ
เปลี่ยนสลับ เรื่อยไป อย่าได้หวัง
ให้ทุกอย่าง คงที่ และจริงจัง
อาจพลาดหวัง ไม่เป็น เช่นต้องการ
ทุกอย่างนั้น อยู่ในกฏ พระไตรลักษณ์
นั้นคือหลัก ของธรรม ที่กล่าวขาน
อยู่กับโลก และธรรม ตลอดกาล
โลกและธรรม ประสาน เป็นหนึ่งเดียว
อยู่กับกาย และจิต พินิจธรรม
เพื่อจะนำ ให้จิต คิดเฉลียว
โลกและธรรม ผสม เข้ากลมเกลียว
เป็นหนึ่งเดียว คือธรรม พระสัมมาฯ
เอาพระธรรม นำมา ใช้เป็นหลัก
เดินตามมรรค แนวทาง ให้ศึกษา
มรรคคือทาง สายกลาง สร้างปัญญา
พัฒนา ทางจิต นิมิตดี
เพื่อน้อมนำ ทำจิต เป็นกุศล
จะมีผล เป็นสง่า มีราศรี
เพราะมีธรรม นำจิต ให้คิดดี
ก็จะมี ความสุข ไม่ทุกข์ใจ
สุขในธรรม นำทาง สร้างชีวิต
สุขเพราะจิต นั้นคิด ถึงสิ่งใหม่
สุขเพราะจิต เป็นกุศล นั้นดลใจ
สุขเพราะได้ มีธรรม นั้นนำทาง
เพราะมีธรรม นำทาง สว่างจิต
นำชีวิต ก้าวไป ในแบบอย่าง
ให้เข้าใจ ในจิต คิดละวาง
จิตสว่าง ใจสงบ เมื่อพบธรรม...
ด้วยความปรารถนาดีและไมตรีจิต
รวี สัจจะ-สมณะไร้นาม
๑๑ ตุลาคม ๒๕๕๓ เวลา ๐๘.๔๔ น. ณ ศาลาน้อยริมน้ำโขง ชายขอบประเทศไทย