ตถตาอาศรม ริมฝั่งโขง
๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๓
อากาศเปลี่ยน อุณหภูมิลดลงเรื่อยๆ จาก ๒๗ องศาในตอนกลางวัน ๒๐ องศาในตอนกลางคืน
ลดลงเหลือ ๒๓ องศาในตอนกลางวันและ ๑๗ องศาในตอนกลางคืน แต่ริมฝั่งโขงนั้นจะแตกต่างจากที่อื่น
เพราะจะมีลมพัดแรง พัดผ่านแม่น้ำโขงขึ้นฝั่งฝ่ายไทย มันจะทำให้เิกิดอาการ "หนาวสะท้าน " เย็นยะเยือก
แตกต่างจากความหนาวในท้องที่อื่น เพราะสมัยที่อาศัยอยู่บนดอยที่แม่ฮ่องสอนนั้น เคยเจออากาศที่หนาว
กว่านี้ ประมาณ ๔-๖ องศา แต่ก็สามารถที่จะหาความอบอุ่นได้โดยการก่อไฟผิง แต่ที่ชายโขงนั้นไม่สามารถ
ที่จะก่อไฟผิงได้ เพราะลมพัดแรง เป็นความหนาวที่แตกต่างกัน ปีนี้ลมหนาวมาเร็วและหนาวนานกว่าที่ผ่านมา
ซึ่งจะสังเกตุได้ว่า ถ้าปีไหนภาคใต้มีฝนตกหนักและน้ำท่วม ปีนั้นภาคอีสานจะลมแรง หนาวมากและหนาวนาน
นั่นคือเรื่องของสภาพดินฟ้าอากาศ ที่เฝ้าสังเกตุมาเป็นเวลาหลายปีที่ผ่านมา
สมัยที่อาศัยจำพรรษาอยู่ที่วัดถ้ำเสือฯนั้น หลวงพ่อจำเนียร ท่านได้สอนเรื่องการฝึกวิชาลมปราณ
การควบคุมพลังงานและกล้ามเนื้อ ซึ่งได้นำมาฝึกหัดปฏิบัติสมัยที่จำพรรษาอยู่บนดอย เพื่อต่อสู้กับความหนาว
โดยใช้การบังคับลมหายใจ ดึงลมเข้าไปในร่างกายและบังคับลมให้หมุนที่หน้าท้อง เพิ่มกำลังการหมุนให้มากขึ้น
จากหมุนลม ๓ รอบ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆจนหมุนถึง ๙ รอบหรือ ๑๖ รอบ ตามกำลังสมาธิของแต่ละคนที่ได้ฝึกฝนกันมา
ลมที่หมุนในร่างกายนั้นจะทำให้เกิดพลังงานความร้อนในร่างกาย ทำให้ร่างกายอบอุ่นขึ้น เลือดลมเดินได้สะดวก
ซึ่งวิชาลมปราณนั้นเป็นกรรมฐานในกลุ่มของกสิน คือ " วาโยกสิน " เป็นกสินลม ซึ่งแตกต่างจากอานาปากรรมฐาน
อานาปานั้นเป็นการดูลม แต่กสินลมนั้นเป็นการบังคับลม คล้า่ยกันแต่ไม่เหมือนกัน เพราะเจตนาแห่งการปฏิบัตินั้น
แตกต่างกัน ผลที่ได้จากการปฏิบัตินั้นจึงแตกต่างกัน ซึ่งมีกรรมฐานอีกกองหนึ่งซึ่งใช้ปฏิบัติเพื่อต่อสู้กับความหนาว
ได้เหมือนกัน คือการฝึกกสินไฟ ซึ่งหลวงปู่โง่น โสรโย ท่านได้เคยเล่าให้ฟังสมัยที่ท่านไปปฏิบัติอยู่ที่ประเทศอินเดีย
ที่เมืองฤาษีเกต จนเป็นที่ฮือฮาในหมู่นักพรตฤาษีทั้งหลายและเป็นที่ยอมรับของฤาษีที่มาชุมนุมในเมืองนั้นมาแล้ว
ซึ่งเรื่อง "กสินไฟ "นั้นจะได้อธิบายในโอกาสต่อไป ในเรื่องของ " กสิน ๑๐ " ตามความเหมาะสมในโอกาสต่อไป
ชีวิต คือการเดินทาง
เพื่อสร้างกุศลกรรม สั่งสมบารมี
ด้วยจิตสำนึกแห่งคุณธรรมความดี
ปรารถนาไปถึงซึ่งความพ้นทุกข์
ฝันไว้ไกลและต้องไปให้ถึงซึ่งความฝัน
ตราบใดที่เรายังก้าวเดินไปข้างหน้านั้น
ระยะทางสู่จุดหมายปลายทางย่อมสั้นลง
อย่าไปกังวลว่าเหลือระยะทางมากหรือน้อย
ขอเพียงให้รู้ไว้ว่าใกล้เข้าไปทุกขณะแล้ว
ไม่ว่าจะยาวนานสักเท่าไรจะกี่ภพกี่ชาติก็ตาม
จะพยายามก้าวเดินไปข้างหน้าไม่หยุดยั้ง
สั่งสมอบรมกำลังให้มีอินทรีย์ที่แก่กล้า
ความหวังที่ตั้งไว้...นั่นคงจะไม่ไกลเกินจริง....
ด้วยความปรารถนาดีและไมตรีจิต
รวี สัจจะ-สมณะไร้นาม-วจีพเนจร
๙ พฤษจิกายน ๒๕๕๓ เวลา ๐๘.๐๘ น. ณ ศาลาน้อยริมน้ำโขง ชายขอบประเทศไทย