ผู้เขียน หัวข้อ: ผีมีจริงหรือ???  (อ่าน 3268 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ผีมีจริงหรือ???
« เมื่อ: 28 ก.พ. 2554, 12:21:49 »
พุทธทาส ภิกขุ A_13 ผีมีจริงหรือ?
[youtube=425,350]iOuY9z304Mw[/youtube]

เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว....ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา...สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา...กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

ออฟไลน์ ตั้นคนเมืองโอ่ง

  • ปัญจมะ
  • *****
  • กระทู้: 266
  • เพศ: ชาย
    • ดูรายละเอียด
    • อีเมล
ตอบ: ผีมีจริงหรือ???
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 01 มี.ค. 2554, 07:18:55 »
ขอบคุณครับ ^ ^

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: ผีมีจริงหรือ???
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: 01 มี.ค. 2554, 10:02:19 »
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1298969686&grpid=no&catid=54
.........
บางทีจึงไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจที่ตลอดชีวิตของแฟรงคลินซึ่งใช้เวลาเพื่อศึกษาความลึกลับของโลก  ในที่สุดความสนใจของแฟรงคลินได้เปลี่ยนไปสู่สิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเรื่องที่ไม่มีใครทราบ นั่นก็คือชีวิตหลังความตาย  ในจดหมายของเขาหลายฉบับ เขามักจะกล่าวถึงเรื่องดังกล่าวในลักษณะที่เป็นเรื่องขบขัน (จอห์น อดัมส์ได้รำลึกถึงเมื่อครั้งแฟรง-คลินเคยพูดติดตลกว่า "พวกเราทุกคนได้รับการต้อนรับสู่ความบันเทิงอันยิ่งใหญ่  รถม้าของท่านมาถึงประตู แต่พวกเราจะได้พบกันอีกที่นั่น")หรือเป็นดังสวรรค์ซึ่งความรักของเขาที่มีต่อสุภาพสตรีชาวฝรั่งเศสที่มิสามารถเข้าถึงได้ ในท้ายสุดได้เกิดขึ้น  หนึ่งในบุคคลที่แฟรงคลินชื่นชอบคือ มาดามบริลลง เดอ โชย (Madame Brillon de Jouy) ซึ่งได้เคยร่วมกับแฟรงคลินในการจินตนาการถึงสถานที่ที่ซึ่งในภายหลัง"เมสแมร์จะพอใจในการบรรเลงอาร์โมนิกาโดยไม่ทำให้พวกเราเบื่อด้วยการรักษาโดยใช้ของไหลไฟฟ้า"  แฟรงคลินได้เขียนถึงเพื่อนของเขาชื่อจอร์จ วัทลีย์ว่าข้าพเจ้าเห็นว่าความตายเป็นสิ่งจำเป็นอย่างหนึ่งของเราเช่นเดียวกับการนอนหลับ  เราจะตื่นขึ้นมาอย่างสดชื่นในตอนเช้าŽ และเขาได้ตอบเอซรา สไตลส์ซึ่งถามความเห็นเกี่ยวกับศาสนา  โดยแฟรงคลินได้ยืนยันในศรัทธาของเขาในพระเจ้า แต่ยอมรับว่ายังคงสงสัยเกี่ยวกับความศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซู  "แม้ว่ามันเป็นคำถามที่ข้าพเจ้าไม่มีหลักการในการตอบ เนื่องจากไม่เคยศึกษามันมาก่อน และคิดว่าไม่จำเป็นต้องทำให้ตัวข้าพเจ้าต้องวุ่นวายไปกับเรื่องนี้ในตอนนี้  เมื่อข้าพเจ้าคาดว่าในไม่ช้าก็จะได้มีโอกาสทราบความจริงโดยไม่ต้องลำบากเลย"
 
                "ข้าพเจ้าไม่สามารถสงสัยในการสูญหายไปของจิตวิญญาณ" เขาเขียนไว้ "หรือเชื่อว่า (พระเจ้า) จะลำบากในการทำลายจิตวิญญาณของคนนับล้าน ซึ่งท่านได้สร้างให้เกิดขึ้นเรียบร้อยแล้วของคนนับล้านในแต่ละวัน และทำให้ท่านต้องลำบากในการสร้างจิตวิญญาณขึ้นมาใหม่  ข้าพเจ้าเชื่อเช่นนั้น"
เขาสรุปความด้วยการทำนายอันแม่นยำว่า
ข้าพเจ้าจะยังคงอยู่ต่อไป ในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งเสมอ



ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: ผีมีจริงหรือ???
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: 13 มี.ค. 2554, 09:13:35 »
"สมัยหลวงปู่ดูลย์ยังคงแข็งแรง (คิดว่าประมาณอายุสัก 50-60 ปี) หลวงปู่ได้พาพระหนุ่มๆ สองรูปออกเดินธุดงค์ ในการเดินธุดงค์ครั้งก็เพื่อพาพระหนุ่มไปหาประสบการณ์เกี่ยวกับการเดินธุดงค์และปฏิบัติธรรม เดินมาถึงป่าแห่งหนึ่งซึ่งห่างไกลจากหมู่บ้านมาก คือในละแวกใกล้เคียงที่ปักกลดนี้จะไม่มีบ้านคนหรือหมู่บ้านอยู่เลย


เมื่อมาได้ที่เหมาะแก่การปฏิบัติศาสนกิจแล้ว ทั้งสามรูปก็ได้ทำการจัดแจงที่พักอาศัย ซึ่งก็ต้องแยกย้ายกันไปตามทิศต่าง ๆ จะไม่พยายามปักกลดใกล้กัน ซึ่งเป็นธรรมเนียมของพระป่าผู้แสวงหาโมกขธรรม จะลดความคลุกคลี นอกจากจะมีกิจที่จะต้องทำร่วมกัน

การปฏิบัติก็เป็นไปตามปกติ แต่แล้วมีอยู่วันหนึ่ง พระหนุ่มรูปหนึ่งที่ไปด้วยกัน ได้นำเรื่องราวที่ตัวเองได้พบในขณะที่ปฏิบัติธรรมนั่งสมาธิ ให้หลวงปู่ฟัง ว่า

"เมื่อกระผมนั่งสมาธิอยู่นั้น จิตได้สงบนิ่ง ในขณะนั้นก็เกิดภาพผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามา แล้วกล่าวกับผมว่า ในอดีตชาติที่แล้วนั้น ดิฉันกับท่านนั้นเป็นสามีภรรยากันมาก่อน และชาติเราทั้งสองก็ได้มีโอกาสได้เจอกันแล้ว ก็จะขอท่านได้ลาสิขาแล้วมาอยู่ร่วมกันดังในชาติที่แล้วเถิด และผู้หญิงนั้นก็เล่าต่อไปว่า

เมื่อชาติที่แล้วเราทั้งสองได้อยู่อาศัยในหมู่บ้าน ซึ่งอยู่ใกล้กับที่ปักกรดนี้ และเมื่อเราทั้งสองได้ตายไป ก็ได้ฝั่งศพทั้งสองไว้ที่ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง ถ้าท่านไม่เชื่อก็สามารถไปพิสูจน์ได้ แล้วผู้หญิงนั้นก็จากไป" (ลืมบอกไปว่าในขณะที่พระรูปนั้นเจอผู้หญิงนั้น เป็นเวลากลางคืน)

เมื่อหลวงปู่ดูลย์ได้ฟังเรื่องราวที่พระหนุ่มรูปนั้นเล่าให้ฟังแล้ว หลวงปู่ก็ไม่ได้กล่าวหรือสอนอะไร คือรับฟังเฉยๆ
พอคืนที่สอง เหตุการณ์ดังกล่าวก็เกิดขึ้นกับพระหนุ่มรูปนั้นอีก ตอนเช้าก็มาเล่าให้หลวงปู่ฟัง ดังต่อไปนี้ ...........


"ผู้หญิงคนเดิมที่มาในคืนแรก ก็มาอีก และก็สาธยายเรื่องราวในอดีตชาติที่แล้วให้ฟังเดิม เพื่อจะต้องการให้พระหนุ่มรูปนั้นใจอ่อนลาสิกขาออกไปครองเป็นสามีภรรยาให้ได้ ในขณะที่เล่าก็ร้องสะอึกสะอื้นไป ก่อนกลับผู้หญิงนั้นก็บอกเพิ่มเติมว่าอีกสองวันข้างหน้าจะมีหนุ่มอีกหมู่บ้านหนึ่งจะมาสู่ขอตัวเองไปเป็นภรรยา

ขอให้ท่านรีบพิจารณา เพื่อจะได้ไปสู่ขอก่อนหนุ่มคนนั้นเสีย ถ้าท่านไม่ลาสิกขา ดิฉันก็จะไม่ยอมแต่งงานกับหนุ่มคนนั้นเด็ดขาด จะขอยอมตายโดยจะฆ่าตัวตายเสีย พูดจบผู้หญิงนั้นก็จากไปพร้อมกับน้ำตา และทิ้งความลังเลสงสัยให้กับพระหนุ่มรูปนั้นให้ขบคิดว่าตัวเองกำลังเผชิญอยู่กับอะไร ! และจะทำอะไรต่อไป ?"

เมื่อหลวงปู่ดูลย์ฟังจบ ...วันนี้ท่านอดสงสารลูกศิษย์ไม่ไหว ก็เลยแนะนำวิธีการให้พระหนุ่มนั้นนำไปปฏิบัติ..โดยวิธีการดังนี้


"ฟังนะ...ท่านไปหาถ่านฝืนมาสักก้อนหนึ่ง (ถ่านหุงต้ม) แล้วป่นให้ละเอียด และคืนนี้เมื่อผู้หญิงคนนั้นมาอีก ท่านตั้งสติให้ดี ให้ถอยออกจากฌานในระดับที่ละเอียด (ซึ่งในขณะที่พระหนุ่มรูปนั้นเจอผู้หญิงนั้นจะอยู่ในภาวะของฌานที่ละเอียด) ให้ลดมาอยู่ในระดับที่สามารถเคลื่อนไหวกายได้  เมื่อผู้หญิงนั้นมา ก็ให้ท่านใช้นิ้วแตะที่ถ่านที่เตรียมไว้ และลุกขึ้นไปป้ายที่หน้าผากของผู้หญิงคนนั้น"
หลวงปู่ก็เมตตาแนะนำพระหนุ่มรูปนั้นแต่เพียงเท่านี้...


คืนที่สาม

ผู้หญิงคนเดิมก็เดินมาข้างหาพระหนุ่มรูปนั้น พร้อมกับน้ำตา แล้วก็พูดขึ้นว่า พรุ่งนี้แล้วที่หนุ่มอีกหมู่บ้านหนึ่งจะมาสู่ขอตัวเอง กับพ่อแม่ ก็ขอให้ท่านรีบตัดสินใจลาสิกขา และรีบไปสู่ขอก่อนหนุ่มคนนั้น ถ้าท่านไม่ลาสิกขาดิฉันเองก็จะไม่ย่อมแต่งงานกับหนุ่มคนนั้นเหมือนกัน จะขอยอมตายจะไม่ยอมแต่งงานกับใครนอกจากท่านเท่านั้น (รักแท้ หายาก)


พระหนุ่มรูปนั้นเมื่อเห็นว่าผู้หญิงนั้นมาอีก ก็ตั้งสติและปฏิบัติตามวิธีที่หลวงปู่แนะนำไว้ คือถอยจากฌานที่ละเอียดมาอยู่ในระดับที่เคลื่อนไหวกายกาย แต่อยู่ในฌานอยู่ แล้วใช้นิ้วแตะที่ถ่าน แล้วค่อยลุกขึ้นยืน ค่อยๆ เดินไปที่ผู้หญิงคนนั้น พอถึงตรงหน้า ท่านก็ทำตามวิธีที่หลวงปู่แนะนำไว้ ก็คือเอานิ้วที่แตะถ่านนั้นป้ายที่หน้าผากผู้หญิงคนนั้น

หลังจากที่ป้ายเสร็จทันใดนั้นเอง ผู้หญิงคนนั้นก็ร้องกรี๊ดดังลั่นป่า แล้วก็วิ่งหายไปในป่า สร้างความตกตะลึงให้พระหนุ่มรูปนั้นเป็นอย่างมาก เพราะไม่รู้ว่าอะไรเกิดขึ้นกับตัวเอง และผู้หญิงคนนั้น ทำไมผู้หญิงคนนั้นต้องร้องกรี๊ด และวิ่งหนีหายไปในป่าด้วย !?"


ทุกท่านที่อ่านอยู่ คิดสงสัยเหมือนอย่างที่พระหนุ่มรูปนั้น หรือไม่ครับ ?


ตอนเช้าพระหนุ่มรูปนั้นก็ได้นำเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับตัวเองมาเล่าให้หลวงปู่ดูลย์ฟัง ดังที่เคยกระทำมาแล้วในสองวันที่ผ่านมา เมื่อพระหนุ่มเล่าเรื่องราวจบ หลวงปู่ก็ยังคงเฉย ๆ เมื่อกับว่าท่านได้รับรู้เรื่องราวและทราบเรื่องราวนั้นอย่างละเอียดแล้ว จึงไม่ตื่นเต้นกับเรื่องราวที่พระหนุ่มนั้นเล่า เมื่อพระหนุ่มรูปนั้นเล่าจบ หลวงปู่ก็หยิบฝาบาตร ส่องไปที่หน้าพระหนุ่มรูปนั้น แล้วบอกให้พระหนุ่มนั้นมองไปที่หน้าตัวเองที่อยู่ในฝาบาตร เมื่อพระหนุ่มรูปนั้นมองไปในฝาบาตร ก็ยิ่งสร้างความตกตะลึงสงสัยให้กับพระหนุ่มรูปนั้นขึ้นอีก เพราะว่าที่หน้าผากของตัวเองนั้น มีรอยถ่านดำติดอยู่ในหน้าผาก ดังที่ตัวเองนำไปป้ายกับผู้หญิงคนนั้น ในคืนที่ผ่านมา แล้วทำไมรอยถ่านนั้นจึงมาอยู่ในหน้าผากเราได้อย่างไร ?


ทุกท่านก็คงยิ่งเพิ่มความสงสัยไปอีกหรือเปล่ามั้ยครับ ว่าทำไมรอยถ่านดำจึงมาติดอยู่ที่หน้าผากพระหนุ่มรูปนั้น ?
ผู้หญิงนั้นคือใคร ?


ทำไมรอยถ่านจึงมาติดอยู่ที่หน้าผากพระหนุ่มรูปนั้นได้อย่างไร ? ………..


ขอย้อนไปวันที่สองนิดหนึ่งครับ หลังจากคือที่สองนั้น พระหนุ่มรูปนั้นก็รู้สึกว่ามีจิตใจเอียงเอนอ่อนไปกับคำของหญิงสาวชาวป่าคนนั้น ทำให้จิตใจกระสับกระส่าย คิดจะลาสิกขาและไปสู่ขอหญิงสาวนั้นแต่งงาน แต่หลวงปู่ท่านรู้ทันอาการทั้งหมดแต่ก็ไม่พูดอะไร ได้แต่แนะนำวิธีการดังที่กล่าวไปแล้ว เท่านั้น


ที่จริงแล้วหลวงปู่ดูลย์ท่านรู้ความเป็นไปของศิษย์ผู้นี้ตลอด ตั้งแต่คืนแรก ถึงคืนที่สาม แต่หลวงปู่ท่านต้องการสอนพระหนุ่มรูปนั้น จึงปล่อยให้เหตุการณ์ล่วงเลยไปถึงคืนที่สาม


ตอนเช้าเมื่อพระหนุ่มรูปนั้นนำเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับตัวเองมาเล่าให้ฟัง หลวงปู่ท่านก็หยิบฝาบาตรมาส่องไปที่หน้าของพระหนุ่มรูป เมื่อพระหนุ่มรูปนั้นเห็นหน้าผากตัวเองมีรอยถ่านดำ ดังที่เคยป้ายแก่หญิงสาวชาวป่าในเมื่อคืน ก็ยิ่งสร้างตกตะลึงและสงสัยเป็นอันมาก เมื่อหลวงปู่ดูลย์เห็นว่าพระหนุ่มนั้นตกตะลึงสงสัย จึงได้เล่าเรื่องราวที่เป็นจริงให้ศิษย์ฟัง ผมขออธิบายเป็นการขยายให้ฟังก็แล้วกันครับ

“ สิ่งที่เกิดขึ้นนั้น มันไม่ใช่ของจริง ผู้หญิงที่ท่านเห็นทั้งสามคืนนั้นก็ไม่มีจริง เพราะป่าที่มาปักกลดแห่งนี้เป็นป่าที่ลึกแห่งไกลจากหมู่บ้านมาก ฉะนั้นในละแวกใกล้เคียงนี้ไม่จึงไม่มีบ้านคน (ที่หลวงปู่ทราบว่าไม่มีบ้านคน เพราะหลวงปู่ท่านเคยเดินธุดงค์และปักกลดที่นี่มาแล้ว) สิ่งที่ท่านเห็นเกิดจากจิตของท่านเอง ที่สร้างขึ้นมาหลอก ”


แล้วท่านก็สอนให้พระหนุ่มรูปนั้นเกี่ยวกับจิตของคนเรา (ซึ่งตรงนี้หลวงปู่สอนว่าอย่างไรบ้างนั้น ผมก็จำไม่ได้แล้ว เพราะจำจากครูบาอาจารย์มาอีกทีหนึ่ง)
 
ส่วนต่อไปนี้เป็นเพิ่มเติมความคิดของผมเองครับ

บางท่านเมื่อได้อ่านเรื่องของพระหนุ่ม กับหญิงสาวชาวป่า แล้ว บางคนอาจจะคิดว่าเป็นผู้หญิงนั้นเป็นจริง ๆ บ้าง เป็นผี หรือวิญญาณบ้าง แต่มีน้อยคนที่คิดว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นส่วนของจิตใจของพระหนุ่มรูปนั้น ที่ปรุงแต่งสร้างรูปขึ้นมา โดยที่เจ้าตัวไม่รู้ และก็หลงไปกับสิ่งที่จิตปรุงแต่งขึ้นมา ที่เห็นว่าเหมือนจริงทุกอย่างนั้น เพราะว่าเห็นในขณะเข้าฌาน ซึ่งในขณะจิตจะละเอียด จนสามารถสร้างสิ่งระเอียดและเหมือนจริงได้ ซึ่งจุดนี้ถ้าใครเคยสังเกตตัวเองเวลาที่กำลังนั่งสมาธิ แล้วเกิดนึกหน้าใครสักคนหนึ่งที่เรารู้จัก เราจะเห็นหน้าคนตาคนนั้นอย่างชัดเจนมาก

แต่ถ้าเรานั่งธรรมดา ๆ แล้วลองนึกภาพใครสักคนหนึ่ง ภาพก็เลือนลางลง จะไม่ชัดเหมือนตอนนั่งสมาธิ และเมื่อเราลืมตาอยู่ ลองนึกหน้าใครสักคนหนึ่ง ภาพที่เห็นต่อหน้าก็เลือนลางเห็นบ้างไม่เห็นบ้าง ซึ่งจุดเราสามารถเปรียบเทียบกับคนที่นั่งสมาธิจนเข้าฌาน ว่าภาพที่เห็นในขณะเข้าฌานนั้นชัดเจนอย่างอะไร ก็คิดว่าเหมือนมองด้วยตาเปล่าทำนองนั้นละครับ


สิ่งต่อมาก็คือภาพที่พระหนุ่มนั้นเห็น ผู้หญิงที่พระหนุ่มรูปนั้นเห็นนั้น ไม่ใช่ภาพที่เกิดจากความตั้งใจนึกขึ้น แต่เป็นภาพที่เกิดขึ้นมาลอย จนตัวผู้เห็นก็ไม่ทราบว่าเกิดจากจิตภายในตัวเอง จนหลงเชื่อว่าเป็นจริง ถ้าเกิดเป็นผม ๆ ก็เชื่อว่าเป็นจริงเหมือนกันครับ เพราะเห็นชัด และผู้หญิงคนนั้นก็อ้างอิงเรื่องราวในอดีตชนิดที่เราเองต้องเชื่อครับ เช่นให้ไปดูกระดูกที่ฝั่งไว้ใต้ไม้ อันเป็นหลักฐานว่าทุกอย่างเป็นเรื่องจริง


ภาพผู้หญิงคนนั้นผมว่าน่าจะเกิดจากจิตใจใต้สำนึก ทุกท่านก็คงเข้าใจว่าจิตใต้สำนึกนั้นเป็นอย่างไร แต่เป็นภาพผู้หญิง นั้นผมก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไม่จึงเกิดขึ้นมาได้ รู้แต่ว่าเกิดจากจิต และจิตใต้สำนึก แต่ทำไมจึงเป็นภาพผู้หญิง ตรงนี้ครูบาอาจารย์ท่านไม่ได้เล่า เพราะท่านต้องการเน้นให้เห็นถึงความพิสดารและอัศจรรย์ของจิตของคนเรามากกว่า ให้รู้จิตของคนเรานั้นมันมีอะไรให้ศึกษาและค้นคว้าอีกมาก ยังมีอะไรสลับสับซ่อนอีกมาก จนเราเองผู้เป็นเจ้าของยังรู้จิตของเราไม่หมดเลย

ตรงนี้ก็อย่าถือว่าเราเป็นเจ้าของจิต และจิตเป็นเรา จิตเป็นของเรา เพราะว่าถ้าเราเป็นเจ้าของ เราก็ต้องรู้จิตใจของเราดีทั้งหมด แต่นี้ไม่ เรายังไม่เข้าใจจิตของเราเองดีพอ บ้างครั้งเราจะสับสนกับจิตใจของเรา ว่าทำไม่เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ทั้งที่เราเองก็ไม่อยากจะเป็น แต่พอเราอยากให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ทำไมไม่เป็นอย่างที่เราคิด นี่แหละครับ เป็นข้อสงสัยที่ทำให้ต้องตั้งคำถามว่า ถ้าจิตใจเป็นของเรา หรือจิตใจคือเรา แล้วทำไมจิตไม่เป็นไปตามที่เราคิดล่ะ ?
ท่านมีความสงสัยอย่างนี้บ้างหรือเปล่าครับ ?

ขอขอบคุณที่มา
http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-doon-hist-02.htm

ออฟไลน์ ทวีศักดิ์

  • ปัญจมะ
  • *****
  • กระทู้: 166
  • ศิษย์บางพระ
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: ผีมีจริงหรือ???
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: 14 มี.ค. 2554, 05:37:38 »
เชื่อไม่เชื่อแล้วแต่บุคคล ไม่ลบหลู่ อนุโมทนาครับ
จงยิ้มสู้ จงอยู่อย่างยิ้มสู้กับสิ่งที่ลำบาก

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: ผีมีจริงหรือ???
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: 14 มี.ค. 2554, 11:32:00 »

หากจะถามกันว่ามีผีหรือไม่ ถ้ายึดเอาตามความเชื่อของนักวิทยาศาสตร์แล้ว จะต้องบอกว่า มี หากมีอยู่แต่ในใจของแต่ละคนเท่านั้น
 
คณะนักวิจัยมหาวิทยาลัยคอลเลจ ที่กรุงลอนดอน ได้พบในการศึกษาเรื่องนี้ว่า เมื่อคนเราตกอยู่ ในบริเวณที่ไม่ค่อยจะมีแสงสว่างนัก สมองอาจถูกหลอกให้เห็นโน่นเห็นนี่ ซึ่งไม่ได้มีอยู่จริงได้ “สิ่งแวดล้อมในที่เราอยู่นับว่าสำคัญมาก บางทีมันอาจจะข่มหลักฐานตามที่ตาเราเห็นไปได้ และอาจจะทำให้เราทึกทักว่าเราเห็นมัน”
 
 
 
หนังสือพิมพ์รายวัน “เดอะ เดลี่ เทเลกราฟ” ฉบับใหญ่ของอังกฤษ รายงานข่าวต่อไปว่า ศาสตราจารย์ หลี่ เจาปิง หัวหน้านักวิจัย บอกให้รู้ว่า พวกนักมายากลได้ล่วงรู้ถึงปรากฏการณ์ อันนี้มาหลายปีแล้ว เมื่อเขาโยนลูกบอลขึ้นไปในอากาศ ตามด้วยลูกที่ 2 และ 3 ครั้นแล้วลูกที่สามจะเกิดหายไปได้อย่างน่าอัศจรรย์ แต่อันที่จริงแล้ว บางทีลูกที่ 3 ไม่มีจริงเลย หากแต่ สมองของเราถูกสิ่งแวดล้อมหลอกเอา กลับบอกตัว เราว่าให้เรานึกว่าเห็นเขาโยนลูกทีละลูก รวมเป็น 3 ลูกจริง
 
         เหตุที่ตาเราฝาด เห็นอสุรกาย ปรากฏออกมาจากเงามืด ก็ทำนองเดียวกันนี้แหละ เพราะที่ซึ่งเป็นเงามืดมองเห็นไม่ค่อยชัดอยู่แล้ว ดังนั้น จึงมักทำให้นึกวาดภาพต่อเติมให้เห็นเป็นตัวเป็นตนไป...

อ่านต่อ : http://www.dek-d.com/content/all/6890/#ixzz1GaiXAPb6

ออฟไลน์ โยคี

  • เด็กวัด
  • *****
  • กระทู้: 1361
  • เพศ: ชาย
  • เมตตาธรรมค้ำจุนโลก
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: ผีมีจริงหรือ???
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: 15 มี.ค. 2554, 04:31:31 »
ข้อมูล ไม่ต้องอ้างที่มา ที่ไป
ผี ปีศาจ วิญญาณ มีจริงแน่นอน
ในบางส่วน ของพระไตรปิฏก ก็กล่าวไว้ หลายตอน ไปหาอ่านเอาเอง
ถ้าเรานับถือ ศาสนาพุทธ ก็ควรจะเชื่อถือ พระไครปิฏก ซึ่งเป็นการรวบรวม
ข้อธรรม และคำสั่งสอน ของพระพุทธเจ้า
ถ้าคิดแบบ วิทยาศาสตร์ ก็จบเห่กัน
เมื่อพระพุทธเจ้า ทรงพระประสูติ ทรงเดินบนดอกบัว 7 ก้าว สาธุ
อิติ สุคคะโต อะระหัง พุทโธ นะโมพุทธายะ  ฐิตคุโณ อาจาริโย จะมหาเถโร
มหาลาโภ สัพพะสุขขัง จะมหาลาภัง สัพพะโภคัง สัพพะธะนัง ภะวันตุเม

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: ผีมีจริงหรือ???
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: 15 มี.ค. 2554, 05:25:07 »
โปรดใช้ปัญญาในการอ่าน

อุปทานหมู่ทั้งหมู่บ้านผวา ผีสาวลาวหลอกหลอน

         เมื่อวันที่ 8 กันยายน น.ส.โสภา ใจเถิง พยาบาลวิชาชีพ 7 โรงพยาบาลเทิง เปิดเผยว่า ในรอบสัปดาห์นี้ได้มีชาวบ้านขุนห้วยไคร่ ม.14 ต.ตับเต่า อ.เทิง จ.เชียงราย กว่า 100 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวเขาเผ่าเย้า โดยเฉพาะเยาวชนในหมู่บ้าน ได้เข้าทำการรักษาตัวที่โรงพยาบาล ด้วยอาการตัวเกรง หายใจหืดหอบเร็ว เหมือนอาการช๊อก โดยไม่ทราบสาเหตุ โดยกลุ่มชาวบ้านที่นำผู้ที่ผู้ป่วยมาส่งได้กล่าวอ้างได้ถูกผีหลอก 

         น.ส.โสภา กล่าวว่า จากการสอบถามทราบว่า ก่อนที่ชาวบ้านจะถูกผีหลอก เมื่อประมาณต้นเดือนสิงหาคม ที่ผ่านมา ได้มี น.ส.พิทยา ไม่ทราบนามสกุล หญิงสาวชาวลาว ได้เข้ามาพักอาศัยอยู่ในหมู่บ้าน และได้เสียชีวิตลง โดยไม่ทราบสาเหตุบริเวณป่าไผ่ ในหมู่บ้าน จึงได้นำศพไปบำเพ็ญกุศลทางศาสนา แต่กลับพบว่า ตั้งแต่วันที่ 18 สิงหาคม ที่ผ่านมา ได้มีเยาวชนกว่า 8 คน ในหมู่บ้านได้เดินไปโรงเรียนกลับได้พบเจอวิญญาณของหญิงสาวที่เสียชีวิต มาปรากฏกายให้เห็นในลักษณะสวมชุดสีขาว ผมยาวปิดหน้า จึงได้ตกใจและเกิดอาการช๊อกมาโดยตลอด 

         น.ส.โสภา กล่าวด้วยว่า ต่อมาหลังจากที่เยาวชนได้พบเจอวิญญาณ ยังพบว่า ชาวบ้านในหมู่บ้านก็ได้ฝันว่าวิญญาณของหญิงสาว ได้มาเข้าฝันให้ไปบอกมารดาที่อยู่ในประเทศลาว ให้มารับศพกลับบ้าน แต่ชาวบ้านไม่รู้จะติดต่อมารดาของหญิงสาวที่เสียชีวิตอย่างไร จึงได้เชิญหมอผีประจำเผ่า มาทำพิธีให้ แต่ก็กลับพบว่า ชาวบ้านในหมู่บ้านก็ยังได้พบเห็นผีสาวดังกล่าว จึงได้จะเตรียมทำพิธีต่อไปจากเหตุการณ์ดังกล่าวเชื่อว่าเป็นการอุปทานหมุ่ของคนในหมู่บ้าน เพราะชาวไทยภูเขาเผ่าดังกล่าวได้มีความเชื่อเรื่องของผี จึงได้เตรียมที่จะเข้าไปให้ความรู้ต่อไป แต่คงต้องใช้เวลา เนื่องจากความเชื่อของคนเป็นเรื่องที่เปลี่ยนแปลงได้ยาก

ลอกมาจาก
http://hilight.kapook.com/view/28658