ผู้เขียน หัวข้อ: ธรรมะหรรษา..........ลื้อบวชมาแล้วกี่ปี  (อ่าน 3018 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ลื้อบวชมาแล้วกี่ปี

มีอยู่ครั้งหนึ่ง
ท่านหลวงพ่อได้เดินทางไปต่างประเทศ ตามคำนิมนต์ของญาติโยมแถบนั้น (คนไทยที่ตั้งรกรากอยู่ในประเทศนั้น) ที่ต้องการให้ท่านไปแสดงธรรมเพื่อเป็นขวัญกำลังใจบ้าง
พอคน (ไทย) รู้ข่าวเข้า ก็พากันมาเพื่อจะฟังธรรมจากท่านมากมาย (เนื่องจากมีการประชาสัมพันธ์ไว้ล่วงหน้าแล้วด้วย)

หลังแสดงธรรมจบแล้ว
ก็มีช่วงสนทนาระห่างท่านกับญาติโยมที่มา ซึ่งใช้เวลานานอยู่พอสมควร ก่อนพวกเขาจะลากลับ ท่านหลวงพ่อก็ได้ให้เทป – หนังสือธรรมะไว้เพื่อสำหรับศึกษาต่อไป
แต่มีผู้หญิงคนหนึ่ง ร่างท้วม ๆ ผิวขาว ๆ พูดไทยไม่ค่อยชัด อายุราว 50 เศษ ๆ ได้เข้ามากราบท่าน แล้วขอให้ท่านช่วยเขียนผ้ายันต์ให้

ท่านหลวงพ่อบอกว่า “อาตมาทำไม่เป็น”
“งั้นช่วยทำตะกรุดให้อั๊วะสักอัน !” เธอต่อรอง
“ตะกรุดก็ทำไม่เป็น” ท่านหลวงพ่อตอบ
“ทำตะกรุดไม่เป็น งั้นลื้อช่วยอาบน้ำนมต์ให้อั๊วะก็ได้” เธอยังไม่เลิกดื้อ
“ลื้อจะอาบน้ำมนต์ไปทำไม ?” ท่านใช้สรรพานามคำเดียวกับที่เธอใช้
“อาบ เพื่อให้โชคดี ทำมาค้าขึ้น ไม่เจ็บไม่ไข้” เธอตอบด้วยความเชื่อมั่นว่าจะเป็นจริงตามนั้น

ท่านหลวงพ่อตอบผู้หญิงคนนั้นไปว่า
“น้ำมนต์อย่างที่โยมว่า อาตมาก็อาบให้ไม่เป็น แล้วก็ไม่เคยอาบให้ใครด้วย อาบเป็นแต่น้ำธรรมตามคำสอนของพระพุทธเจ้าเท่านั้น”

พูดหวังเพื่อให้เธอสงสัย และอยากจะรู้เรื่องของน้ำธรรมบ้าง แล้วท่านจะได้ช่วยอธิบายถึงแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาให้เข้าใจ แต่....
“ลื้อนี้บวชมาแล้วกี่ปี ?” เธอแสดงสีหน้าผิดหวัง พร้อมถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยจะพอใจนัก

ท่านหลวงพ่อก็บอกจำนวนปีที่ท่านบวชมา
ผู้หญิงคนนั้นถึงกับอุทานขึ้นมาทันที

“โอโห้ ! ลื้อบวชมาแล้วตั้งนาน แต่ทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง ไปมัวทำอะไรอยู่ เมื่อสามเดือนก่อนมีพระอย่างลื้อนี่แหละ อีบวชมาแค่สามปีเอง อียังทำให้อั๊วะได้ตั้งหลายอย่าง”

ว่าแล้วเธอก็ลุกขึ้นเดินจากไป โดยไม่ยอมกราบลาท่านเลย :069: ท่านหลวงพ่อพอได้ฟังเช่นนั้น ก็อดสงสารเธอไม่ได้

+++++++++++++++++
คัดลอกจาก.... หนังสือ "ธรรมะอารมณ์ดี ง่าย ๆ สไตล์หลวงพ่อปัญญา" โดย บ.ส. ษิริ บุณยภาค

ที่มา
http://www.tamdee.net/sarakhun/data/readf42f.html?No=385
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว....ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา...สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา...กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: ธรรมะหรรษา..........ลื้อบวชมาแล้วกี่ปี
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 04 ก.ค. 2554, 09:55:25 »
วาสนาของหมา...

...วันนี้ "ขออภัย" มิได้มีเจตนาจะล่วงเกิน "พูด-เขียน" ให้เกิดความหยาบคาย ต่ำช้า ขออนุญาตพูดเรื่อง "หมา" สักวัน

   ปกติคนกับหมา มีส่วนที่เกี่ยวพันใกล้ชิดกันมาตลอด เพียงแต่ว่า คนเป็นสัตว์ประเสริฐ ประเสริฐตรงที่มีคุณธรรมประจำใจ รู้ดีชั่ว บุณบาป รู้ว่าอะไรควรทำ อะไรควรเว้น รู้จักพัฒนาหาความเจริญก้าวไปข้างหน้า หาความสุขใส่ตน ส่วนหมาเป็นสัตว์เดรัจฉาน มีพฤติกรรมทำไปตามสัญชาตญาณของความโง่เขลา จึงจัดได้ว่า คนสูง หมาต่ำ สิ่งที่เรามองว่าต่ำนี่แหละ ถ้ารู้จักมองอีกมุมหนึ่งด้วยปัญญา มองอย่างมีศิลปะ บางทีเราอาจจะได้ข้อคิดจากเรื่องต่ำๆ หมาๆ นี้ก็ได้

เรื่องมีอยู่ว่า มีหมาตัวหนึ่งอาศัยอยู่ในป่าลึก
ในค่ำของคืนวันหนึ่ง เป็นคืนวันเพ็ญเดือนหงายขึ้นสิบห้าค่ำ พระจันทร์เต็มดวง ทอแสงนวลใย ส่องโลกให้สวยงามยิ่งนัก
เจ้าหมาป่าเฝ้าแต่มองจ้องดวงจันทร์ ใจก็พลันคิดไป คิดทะเยอทะยานอยากใหญ่ใฝ่ฝันอันเจิดจ้า
ว่าข้านี่แหละหนา อยากจะเป็นดวงจันทร์ อยากจะทำหน้าที่ส่องโลก ให้สรรพสัตว์ทั้งหลายได้เชยชม
ด้วยแรงแห่งความปรารถนาสักครู่ใหญ่ต่อมา ปัญญาแบบหมาๆ ก็เกิดผุดขึ้นในใจ
ความฝันอันสูงส่งจะเป็นจริงได้จะต้องพึ่งพาอาศัยท่านผู้มีฤทธิ์ ท่านผู้มีความศักดิ์สิทธิ์ คงจะให้เราสถิตบนนภา รำพึงแล้วมิรอช้า
รีบมุ่งหน้าสู่อาศรมฤาษี รีบบอกเอ่ยเผยวจีว่า
ข้ามาครานี้ขอพึ่งพา ขอท่านจงโปรดเมตตา จงได้เนรมิตให้ข้าเป็นดวงจันทร์ ความฝันพลันเป็นจริง
เขาดีใจมากล้นในวาสนาของตนที่ได้ก้าวมาเป็นใหญ่เป็นโต โอ้โฮ...โอ้โฮ...นี่ หรือวาสนาเรา
เขาเพิ่งจะปลื้มมิทันนาน ได้พบพาลอุปสรรค ดวงจันทร์อันเป็นที่รักจำต้องแปรเปลี่ยนไป
เพราะเจ้าเมฆก้อนใหญ่ไหลพัดผ่านมา ปกคลุมแสงสว่างที่เคยผ่องใสนวลใยพลันมืดลง
คิดแล้วไม่ยอมปลงตรงไปหาท่านฤาษีอีกครา อย่ากระนั้นเลยพ่อท่าน ขอกรุณาจงเป่าเสก
อยากจะได้เป็นเอกขอเป็นเมฆเถิด คงจะเลิศกว่าดวงเดือน

ฤาษีท่านขยันรีบผลุนผลันแสดงฤทธิ์ธา ได้เป็นเมฆสมใจใครหรือจะมาสู้ข้า แม้นเจ้าหมู่ดารา ยังเกิดไฝฝ้าจนหมดงาม
ได้เป็นเมฆคะนองเมฆมิทันนาน มีเหตุการณ์เข้ามาใหม่ คือได้เกิดลมพายุใหญ่ พานพัดเมฆให้ต้องกระจาย
จิตใจเจ้าหมาต้องเร่าร้อน ต้องวิ่งว่อนพบฤาษี คุณพ่อครับ ช่วยลูกทีลูกอยากจะเป็นลม(พายุ) ที่ไหนร้อนระอุ ข้าจะพัดให้ร่มเย็น
พอเป็นลมสมใจหมายก่อความวุ่นวายไม่ยอมหยุด จนมาสะดุดย่อท้อเมื่อเจออุปสรรค
พัดผลักแล้วผลัก เจ้าลมยักษ์เกิดอ่อนแรง เมื่อได้เจอของแข็ง พัดจอมปลวกไม่ยอมพัง เป็นเหตุให้มานั่งจับเจ่าเป็นทุกข์ใจ

ซมซานไปพบพ่อฤาษีว่าลูกนี้จนปัญญา ขอเลื่อนอาสาขอเป็นจอมปลวกต่อไป
เป็นได้ไม่นานเท่าไหร่เจ้าควายใหญ่เข้ามาขวิด ขวิดแล้วขวิดจนหวุดหวิดพังทลาย
เป็นจอมปลวกนึกว่าดีแล้ว ยังไม่แคล้วมาแพ้ควายได้ เห็นทีจะเบื่อหน่ายขอเป็นควายเถอะเจ้าประคุณ
เจ้าควายเปลี่ยวแสนเกเรชอบเที่ยวเตร่อาละวาด ทำแบบไม่ฉลาดขวิดของขาดเสียหาย
ต้องเดือดร้อนถึงเจ้าของควาย ต้องวุ่นวายหาเชือกมะนิลามาใส่คอจนมั่นคง

หมดโอกาสทรนงได้ยืนงงเหงาหงอย ต้องเดือดร้อนท่านฤาษีช่วยอีกทีขอเป็นเชือก
ฤาษีไม่มีทางเลือกเสกให้เป็นเชือกต่อไป ได้เป็นเชือกสมใจหมายคงสบายแล้วแหละเรา
แม้แต่ควายยังโง่เขลา ยอมแพ้เราไปหนึ่งราย เหตุการณ์ไม่ใช่หยุดลงแค่นี้ สุดที่จะเดา
เพราะเจ้าหนูน้อยแวะเวียนมากัด เฝ้าเอาเขี้ยวมาแทะเล็ม เชือกใหญ่แสนใหญ่ ทนไม่ไหวกับเขี้ยวหนู
เห็นท่าจะทนไม่อยู่ถูกเจ้าหนูกัดไป คิดแล้วแค้นต้องวิ่งแจ้นสู่อาศรม บอกกล่าวพ่ออย่างตรอมตรมขมขื่นในอุรา
ช่วยลูกอีกทีเถิดหนาว่าเป็นหนูคงดี ออกจากเชือกขอเลือกมาเป็นหนู เป็นได้เพียงชั่วครู่ถูกแมวขู่กีดกิน
เฮ้อ...ขอเป็นแมวเถิดครับพ่อ (ขอตลอดเรื่อง) จะได้ไม่ท้อต่อฝีมือใคร คงฉลาดว่องไวป้องกันภัยได้ทุกแง่
พอเป็นแมวมิทันไร ถูกหมาใหญ่เข้ามารังแก เห็นท่าจะแย่เป็นแมวต่อไปไม่ไหว ตัดสินใจอำลา
วิ่งกราบบาทา ลูกขอเป็นหมาดังเดิม...

เฮ้อ...เหนื่อย...เป็นโน้นเป็นนี่...เสียจนเหนื่อยอ่อนเพลีย

นิทานเรื่องนี้ สอนให้รู้ว่า
ทะเยอทะยานอะไรกันนักหนา ขอให้ดูวาสนาของตน
ไม่ว่าหมาว่าคน ล้วนแต่เขาสมมติให้เป็น
บั้นปลายสุดท้าย เตี้ยลงๆ ปลงเสียเถิด


ที่มา
http://www.tamdee.net/sarakhun/data/readf615.html?No=383
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04 ก.ค. 2554, 09:56:39 โดย ทรงกลด »

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: ธรรมะหรรษา..........ลื้อบวชมาแล้วกี่ปี
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: 04 ก.ค. 2554, 10:00:43 »
หลวงพ่อครับ ผมหมดตัวแล้ว


มีอยู่ครั้งหนึ่ง ท่านหลวงพ่อปัญญาได้รับนิมนต์ให้ไปแสดงธรรม ที่อำเภออำเภอหนึ่งในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
วันนั้นได้เกิดเหตุไฟไหม้ขึ้นในหมู่บ้านอื่น ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากสถานที่ที่ท่านแสดงธรรมนั้นนัก

ดังนั้น เมื่อแสดงธรรมจบแล้ว ท่านหลวงพ่อจึงได้ไปเยี่ยมให้กำลังใจแก่ผู้ประสบภัยพิบัติ หลายคนนั่งร้องไห้ฟูมฟาย หลายคนนั่งเหม่ออย่างคนสิ้นหวัง
หลายคนตกอยู่ในอาการตื่นตระหนก เนื่องจากคาดไม่ถึงว่าตนเอง จะต้องมากลายเป็นคนสิ้นเนื้อประดาตัวภายในพริบตา

ท่านหลวงพ่อได้เข้าไปพูดคุยให้กำลังใจแก่คนเหล่านั้น ให้เขาคลายความทุกข์โศกลงบ้าง
ในจำนวนนั้นมีผู้ชายคนหนึ่งอายุราว ๆ 60 กว่าปี ได้คลานเข้ามาซบหน้าลงแทบเท้าของท่าน พลางคร่ำครวญว่า
“หลวงพ่อครับ ผมหมดตัวแล้ว ไฟมันเอาของผมไปหมดเลย”

ท่านหลวงพ่อก้มลงเอามือลูบหัวของเขา พลางพูดให้กำลังใจว่า
“ยังไม่หมดหรอกโยม ! ทุนเดิมของโยมยังเหลืออยู่”

“หมดแล้วจริง ๆ ครับหลวงพ่อ ไม่มีเหลืออะไรอยู่อีกเลย ไฟมันเอาไปหมดแล้ว” เขายังคงคร่ำครวญอยู่เหมือนเดิม

ท่านหลวงพ่อจึงพูดกับเขาว่า “ไหนลองยกมือขวาของโยมขึ้นสิ !” เขาปฏิบัติตามอย่างว่าง่าย
“แล้วมือซ้ายล่ะ ?” ท่านสั่งอีก
เขาก็ยกมือซ้ายขึ้น
“นั่นเห็นไหม ว่าทุนเดิมของโยมยังเหลืออยู่ มันยังไม่หมด” ท่านหลวงพ่อพูด
คราวนี้เขาเงยหน้าขึ้นมองท่านด้วยแววตาที่สับสน

“วันนี้ แม้ไฟมันจะไหม้บ้านเรือน ข้าวของของโยมไปหมดแล้วก็จริง แต่สิ่งเหล่านี้ โยมได้มันมาเพราะใช้ทุนเดิมของโยมสร้างมันขึ้นภายหลังทั้งสิ้น
ไม่ใช่สมบัติที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด

“ทุนเดิมที่มันติดตัวมาก็คือ แขนสอง สมองหนึ่งของโยมนี่เอง และวันนี้มันก็ยังคงเหลืออยู่ ยังไม่ได้สูญหายไปไหน แล้วจะพูดว่าหมดตัวแล้วได้อย่างไร? เพียงแต่กำไรที่ได้มามันขาดไปเท่านั้นเอง ส่วนทุนนั้นยังเหลืออยู่ เราสามารถหาเอาใหม่ได้ อย่าไปคิดว่าเราหมดเนื้อหมดตัว
แต่ต้องคิดว่าแค่มันเปลี่ยนไปให้เราหาสิ่งใหม่มาทดแทนเท่านั้นเอง

“เราไม่ได้มีสิ่งเหล่านี้มาก่อน มาหาเอาทีหลังทั้งนั้น เมื่อมันหมดไปแล้ว ทำไมเราจะหาเอาใหม่ไม่ได้
อย่าร้องไห้ให้กลุ้มใจไปเลย น้ำตามันไม่ได้ช่วยดับไฟ ที่กำลังไหม้อยู่ให้มอดลงไปได้หรอก

“เราจะต้องคิดเพื่อให้มีกำลังใจต่อสู้เข้าไว้ ลุกขึ้นใหม่เพื่อวันพรุ่งนี้ ทรัพย์สมบัติในโลกนี้มันยังไม่หมด ยังมีเหลือให้เราหาได้อีก
เพียงแต่เราอย่าเพิ่งหมดกำลังใจที่จะหาไปก่อนเท่านั้น”

สรุปแล้ว ทุนเดิมของเรา (ตามที่ท่านหลวงพ่อพูดสอนเอาไว้)
ก็คือหนึ่งสมอง สองมือ และหนึ่งหัวใจของเรานี่เอง

ที่เรามีข้าวของเงินทองต่าง ๆ ก็เป็นผลกำไรอันเกิดจากทุนเดิมของเราหามาทั้งสิ้น
หากวันใดวันหนึ่ง (ซึ่งจะต้องมาถึงแน่นอน) จะต้องสูญเสียกำไรเหล่านั้นไป (บ้าง) ก็อย่าให้ทุนเดิมของเรานี้ต้องสูญเสียไปด้วย
มิฉะนั้นแล้ว เราจะหมดเนื้อหมดตัวกันจริง ๆ


ที่มา
http://www.tamdee.net/sarakhun/data/read1e7c.html?No=372

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: ธรรมะหรรษา..........ลื้อบวชมาแล้วกี่ปี
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: 04 ก.ค. 2554, 10:06:53 »
ยังร้องไห้เสียดายของอีกหรือ ?
สาระธรรมจาก..พระพรหมังคลาจารย์ (หลวงพ่อปัญญา) วัดชลประทานรังสฤษฎิ์ นนทบุรี

        มีผู้หญิงคนหนึ่ง หิ้วถังสังฆทานมาเพื่อถวายท่านหลวงพ่อ ใบหน้าของเธอหมองเศร้า ดวงตาตั้งสองแดงก่ำ บ่งบอกว่าเพิ่งจะผ่านการร้องไห้มา
“ถวายสังฆทานรึหนู?” ท่านหลวงพ่อเอ่ยถามหลังจากเธอก้มลงกราบเรียบร้อยแล้ว

“ค่ะหลวงพ่อ” เธอตอบด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยจะแจ่มใสนัก

“มีเรื่องอะไรไม่สบายใจล่ะ ถึงคิดจะถวายสังฆทาน ?” ท่านถาม
เพราะเห็นว่าคนส่วนใหญ่มักจะถวายสังฆทานกันก็ต่อเมื่อมีเหตุการณ์ให้ปรารภถึงเท่านั้น ประเภทว่าเกิดอยากถวายขึ้นมาเฉย ๆ นั้นไม่ค่อยจะมี

“ถวายให้สามีที่เสียไปค่ะ” เธอตอบ
พร้อมกับยกมือขึ้นป้ายน้ำตาที่รินไหลออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ เมื่อต้องเอ่ยถึงสามีที่จากไปอย่างไม่มีวันกลับ

“อ้อ ถวายให้สามีเองหรอกเรอะ หลวงพ่อเข้าใจว่าจะถวายให้พระเสียอีก” ท่านหลวงพ่อพูดปนตลก เพื่อหวังให้เธอคลายความเศร้าโศกลงบ้าง

แล้วก็ได้ผล เธอหัวเราะออกมาทั้ง ๆ ที่ยังมีน้ำตาอยู่
:004:

“ถวายให้พระนั่นแหละค่ะ แต่ขออุทิศส่วนบุญให้กับสามีที่ตายไป” เธอตอบ
“เขาเสียนานหรือยัง ?” ท่านชวนคุยต่อ
“เจ็ดวันแล้วค่ะ แต่หนูยังทำใจไม่ได้” เธอพูดคล้ายจะสารภาพผิด

สำหรับบางคนเมื่อมีความทุกข์มา ท่านหลวงพ่อก็จะพูดปลอบใจอย่างอ่อนโยนเพื่อให้ลืมความทุกข์โศกนั้น หรือหากยังมีการร้องไห้อยู่ ท่านก็จะพูดด้วยวิธีต่าง ๆ กันออกไป จนคนนั้นลืมร้องไห้ไปเลยก็มี อย่างเช่นกรณีของผู้หญิงคนนี้ ท่านได้พูดปลอบใจเธอว่า

“ทำใจบ้างเถอะหนู ถึงร้องไห้ไปก็เอาน้ำตาอุทิศไปให้แก่คนตายไม่ได้หรอก การร้องไห้ไม่ทำให้เกิดประโยชน์ทั้งแก่ตัวเราและแก่วิญญาณของคนที่ตายไปแล้ว คนเราไม่มีใครทั้งนั้น ที่จะบอกได้ว่าจะอยู่ด้วยกันกี่ปี”

แล้วท่านก็บอกให้เธอยกเอาสังฆทานเข้ามาประเคน (ประเคน หมายถึง กิริยาที่ถวายของให้แก่พระ)
ตัวเธอก็ยังสะอื้นอยู่ไม่ยอมหยุด

ท่านหลวงพ่อจึงพูดเย้า ๆ อีกว่า “จะถวายให้พระแล้ว ยังจะร้องไห้เสียดายของอีกรึ ?”

คราวนี้เธอหัวเราะออกมาดัง ๆ จนลืมไปว่ากำลังร้องไห้อยู่
:004: :004:

ท่านหลวงพ่อมักจะมองเห็นปัญหาชีวิตเป็นเรื่องธรรมดา ๆ เช่นนี้เสมอ โลกนี้จึงไม่มีอะไรมาทำให้ท่านต้องเป็นทุกข์กับมันได้เลย

ผู้เขียนเคยได้ยินท่านพูดอยู่บ่อย ๆ เหมือนกันว่า
“จะเป็นทุกข์ให้โง่ทำไม คนเราไม่ได้เกิดมาเพื่อจะเป็นทุกข์ (สักหน่อย)”

เราเองก็น่าจะเอาอย่างท่านบ้าง ในเมื่อโลกมันไม่เคยยินดีกับความสุขและไม่เคยเสียใจกับความทุกข์ของเราเลย แล้วเราจะเป็นทุกข์กับโลกไปทำไม ?

:002: :004:
ที่มา
http://www.tamdee.net/sarakhun/data/read1486.html?No=364
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04 ก.ค. 2554, 10:12:55 โดย ทรงกลด »

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: ธรรมะหรรษา..........ลื้อบวชมาแล้วกี่ปี
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: 04 ก.ค. 2554, 10:19:04 »
หลังพบภัยพิบัติ


ที่ภูเขาแห่งหนึ่งมีชายตัดฟืนคนหนึ่ง ได้สร้างบ้านด้วยตัวเองอย่างยากลำบาก ที่สุดก็ได้บ้านที่พอคุ้มลมและฝนได้หลังหนึ่ง

วันหนึ่งเขาหาบฟืนไปส่งขายในเมือง ขณะเมื่อเขากลับบ้านในช่วงเย็น ก็เห็นไฟกำลังลุกไหม้บ้านของเขาอยู่ ชาวบ้านใกล้เรือนเคียงต่างก็เข้ามา
ช่วยกันดับไฟ แต่เนื่องจากเป็นช่วงเวลาเย็น ลมจึงโหมแรงกว่าปกติ ดังนั้นจึงยากที่จะดับไฟที่ลุกโชนลงได้ จึงได้แต่ยืนมองอยู่ข้างๆ
ปล่อยให้ไฟลุกไหม้จนหมดทั้งหลังต่อหน้าต่อตา

  เมื่อไฟดับมอดลงแล้ว ก็เห็นชายตัดฟืนนั้น ถือกระบองไม้เข้าไป ในซากบ้านนั้นแล้วคุ้ยหาสิ่งของอยู่ บรรดาคนที่มามุงดู นึกว่าเขา คงจะคุ้ยหาสิ่งมีค่าที่แอบซ่อนไว้ จึงยืนมองดูการกระทำของเขา ด้วยความแปลกใจ

ผ่านไปเพียงชั่วครู่ ชายตัดฟืนคนนั้นร้องออกมาอย่างดีใจว่า
“ข้าหาเจอแล้ว ข้าหาเจอแล้ว” เพื่อนบ้านทั้งหลายจึงเข้าไปดู ที่แท้สิ่งที่อยู่ในมือนั้นคือขวานนั่นเอง ไม่ได้เป็นของมีค่าแต่อย่างใด
ชายตัดฟืนนั้นเอาด้ามไม้เสียบลงไปในหัวขวาน แล้วพูดอย่างเชื่อมั่นว่า
“ขอเพียงมีขวานเล่มนี้ ข้าก็จะสามารถสร้างบ้านที่แข็งแรง และทนทานได้มากกว่านี้”


คนที่ประสบความสำเร็จ ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยประสบความล้มเหลวมาก่อน
แต่เมื่อหลังจากผ่านความล้มเหลวแล้ว
ยังสามารถดิ้นรนขวนขวายเข้าไปหาหนทางทางแห่งความสำเร็จได้


ที่มา
http://www.tamdee.net/sarakhun/data/readb1cd.html?No=356

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: ธรรมะหรรษา..........ลื้อบวชมาแล้วกี่ปี
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: 04 ก.ค. 2554, 10:27:10 »
ซ้อมไว้ล่วงหน้า


สิ่งทั้งหลายทั้งมวลล้วนไม่เที่ยง มีความเสื่อมความเสี่ยง คนเบี่ยงเบนไปเสมอ เพราะสรรพสิ่งล้วนตกอยู่ภายใต้กฎอนิจจังนั่นเอง

สัจธรรมข้อนี้ ถ้ามีการกระทำไว้ในใจอยู่เสมอ ยามเผชิญกับความจริงของชีวิตก็จะมั่นคง คงมั่น ไม่หวั่นไหว ไม่ครั่นคร้าม
เราจะสามารถปลุกใจให้ฮึดสู้ได้ไม่ยาก แต่ใจจะฮึดสู้ขึ้นมาได้นั้น ใจต้องเคยฝึกฝนมาก่อน
:015:

หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ ท่านเปรียบไว้ว่า

“การปลุกปลอบใจ มันต้องคิดไว้ล่วงหน้า เหมือนกับเราจะขึ้นชกมวยต้องซ้อมไว้ล่วงหน้า
จะไปซ้อมเอาที่ข้างเวที จะเริ่มชกลมตรงนั้น มันไม่ทันหรอก พอขึ้นไปถึง เพื่อนก็น็อคไม่ทันถึงยกเลย (ฮา)  :004:
เพราะเราไม่ได้ฝึกไว้ก่อน”

ที่มา
http://www.tamdee.net/sarakhun/data/readdf90.html?No=353

ออฟไลน์ saken6009

  • อย่ากลัวคนจะมาตำหนิ แต่จงกลัวว่าตัวเองจะทำผิด อย่ากลัวที่จะรับรู้ความบกพร่องของตน แต่จงกลัวว่าตนจะเป็นคนที่ดีได้ไม่จริง
  • ก้นบาตร
  • *****
  • กระทู้: 893
  • เพศ: ชาย
  • ชีวิตของข้า เชื่อมั่นศรัทธา หลวงพ่อเปิ่น องค์เดียว
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: ธรรมะหรรษา..........ลื้อบวชมาแล้วกี่ปี
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: 05 ก.ค. 2554, 02:21:41 »
ธรรมะหรรษา..หลากหลายเรื่องราว 36; 36;
                                         
ขอบคุณท่าน ทรงกลด ที่นำบทความที่ดีมากๆมาให้พี่น้องศิษย์วัดบางพระได้อ่านครับ :053: :053:
 
ติดตามอยู่ครับ อ่านแล้วเพลินดีมากๆครับ และ ได้สาระความรู้มากๆครับผม :016: :015:
   
(ขออนุญาตเข้ามาอ่าน เพื่อเป็นความรู้ ขอบคุณมากครับ) :033: :033:

กราบขอบารมีหลวงพ่อเปิ่น คุ้มครองศิษย์ทุกๆท่าน ให้แคล้วคลาด ปลอดภัยจากอันตรายทั้งปวง สาธุ สาธุ