คุณค่าของวันเวลาที่ผ่านไป ๑๕ สค. ๕๔ ...
ตถตาอาศรม เขาเรดาร์ บ้านบึง ชลบุรี
อังคารที่ ๑๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๔
วันเวลาที่ผ่านไปนั้น ทำงานไปตามบทบาทและหน้าที่ ตาม จังหวะ เวลาและ โอกาสที่พึงมี
ทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์ที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยการมีสติและสัมปชัญญะระลึกรู้ในสิ่งที่คิดและกิจที่ทำ
"ชีวิตคือการทำงาน การทำงานคือส่วนหนึ่งของชีวิต" ชีวิตนั้นต้องดำเนินไปตามกระแสแห่งกรรมที่ทำมา
ทุกคนเกิดมาต่างมีภาระหน้าที่และบทบาทที่แตกต่างกัน ตามที่กรรมเก่าได้จัดสรรค์ไปตามเหตุและปัจจัย
ซึ่งที่มานั้นเราไม่สามารถที่จะแก้ไขได้ เพราะมันเป็นเรื่องของอดีตที่ผ่านมาแล้ว แต่เรื่องราวในอนาคตนั้น
เราสามารถที่จะกำหนดได้ โดยการสร้างเหตุและปัจจัยในวันนี้ ดำเนินชีวิตตามภาระและหน้าที่ของเราที่มี
ให้สมบูรณ์ ทำในสิ่งที่ไม่เป็นภัยต่อชีวิตไม่เป็นพิษต่อผู้อื่น ไม่ฝ่าฝืนศีลธรรมกฏหมายและประเพณีที่ดีงาม
เดินตามอริยมรรคอันมีองค์๘ ตามสถานะและสภาวะของเรา
อริยมรรคมีองค์๘นั้นเป็นมัชฌิมาปฏิปทา คือทางสายกลางแห่งการดำเนินชีวิตที่ไม่ผิดทำนอง
คลองธรรม ซึ่งมีหลายระดับชั้นตามกำลังของผู้ปฏิบัติ อย่างหยาบปานกลางและละเอียดตามความเหมาะสม
ของภูมิธรรมของแต่ละบุคคล อันได้แก่
๑.สัมมาทิฏฐิ คือความเห็นที่ถูกต้อง รู้จักผิดชอบชั่วดี เห็นในความเป็นจริงแยกแยะกุศลและอกุศล
๒.สัมมาสังกัปปะ คือความรู้สึกนึกคิดที่จะไม่ทำในสิ่งที่ผิด อันเป็นอกุศลทั้งหลาย
๓.สัมมาวาจา คือการสำรวมในการพูดการเจรจา ไม่ก่อให้เกิดปัญหา มีวาจาที่สุภาพอ่อนโยน
๔.สัมมากัมมันตะ คือการทำงานที่ไม่สร้างความเดือดร้อนเบียดเบียนผู้อื่น และไม่ผิดกฏหมายศีลธรรม
๕.สัมมาอาชีวะ คือการประกอบอาชีพที่สุจริตไม่ผิดกฏหมายและศีลธรรม
๖.สัมมาวายามะ คือความเพียรพยายามควบคุมจิต ระวังบาปอันเป็นอกุศลธรรมไม่ให้เกิดขึ้น
ละบาปอันเป็นอกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้วให้หมดไป พยายามสร้างกุศลตัวใหม่ให้เกิดขึ้น
กุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้วรักษาให้เจริญยิ่งขึ้น
๗.สัมมาสติ คือการมีสติระลึกรู้อยู่เสมอในสิ่งที่เป็นบุญและบาป และเตือนสติไม่ให้คล้อยไปในอกุศลธรรม
๘.สัมาสมาธิ คือการมีความแน่วแน่ตั้งมั่นในสิ่งที่กำลังกระทำ โดยมีสัมมาสติควบคุมอยู่
ที่กล่าวมานี้คือมรรคอันมีองค์๘ สำหรับฆราวาสผู้ครองเรือนที่สามารถจะนำไปประพฤติปฏิบัติได้ โดยที่ไม่ขัดกัน
ทั้งในทางโลกและทางธรรม ส่วนอริยมรรคอันมีองค์๘ ของสมณะนั้นจะละเอียดยิ่งไปกว่านี้เพราะบทบาทและหน้าที่
สถานะนั้นแตกต่างกัน ซึ่งถ้าเรารู้บทบาทและหน้าที่ของเราแล้ว การดำเนินชีวิตก็จะไม่ผิดทำนองคลองธรรม
การทำงานทุกอย่างคือการปฏิบัติธรรม ถ้าเรามีสติและสัมปชัญญะในการทำงาน "ทำงานทุกชนิดด้วยจิตว่าง"
คือคำกล่าวสอนของหลวงพ่อพุทธทาส ความว่างนั้นคือว่างจากอกุศลจิต ว่างจากอัตตา "ความเป็นตัวกูของกู"
ดำเนินชีวิตทำงานไปตามมรรคองค์๘ ความเป็นสัมมาทั้งหลาย ชีวิตจึงไม่เคยว่างจากการทำงาน ทั้งทางกาย
และทางจิต ตราบใดที่เรายังมีลมหายใจอยู่ชีวิตไม่เคยว่างจากการงาน"เป็นความว่างจากอกุศลธรรมทั้งหลาย
แต่ไม่เคยว่างจากภาระกิจและหน้าที่ที่ต้องกระทำ" ไม่เคยว่างจากการเจริญสติแต่ว่างจากอกุศลจิตทั้งหลาย"
การปฏิบัติธรรมตามธรรมนั้นไม่ใช่เรื่องยาก แต่ที่เราคิดว่ายากก็เพราะเราไม่รู้จักบทบาทและหน้าที่ของเรา
ไม่รู้ตน ไม่รู้ประมาณ ไม่รู้กาลเวลา ว่าเราควรกระทำในสิ่งใด และอะไรที่เหมาะสมกับตัวของเราที่จะกระทำ
ความเป็นฆราวาสผู้ครองเรือนและสมณะนั้นแตกต่างกัน เราจึงต้องเลือกธรรมที่จะปฏิบัตินั้นให้เหมาะสมกับตัว
ของเรา ซึ่งเรียกว่า"ธรรมะสัปปายะ"แล้วความเจริญในธรรมจะเกิดขึ้นแก่เรา ทั้งทางโลกและทางธรรม
เหตุแห่งการปรารภธรรมในเรื่องนี้ เนื่องจากมีผู้ขึ้นมาสนทนาธรรม เกี่ยวกับเรื่องของการปฏิบัติธรรม
ว่าจำเป็นหรือไม่ ที่จะต้องปลีกวิเวกไปอยู่ในสถานที่สงบ จึงจะปฏิบัติธรรมได้ดี มีความเจริญก้าวหน้าในธรรม
ก็ตอบเขาไปว่า การปลีกวิเวกไปปฏิบัติในสถานที่สงบนั้น มันเป็นเพียงพื้นฐานเบื้องต้น ในการที่จะฝึกสมาธิ
ให้จิตตั้งมั่น แต่ชีวิตจริงนั้นเราต้องอยู่กับปัจจุบันธรรม ดำเนินชีวิตอยู่ในสังคม มีบทบาทและหน้าที่ ที่จะต้อง
กระทำไปตามกรรมตามวาระ จึงต้องเลือกเฟ้นธรรมะที่จะนำมาปฏิบัติให้เหมาะสมกับตัวเรา ไม่ใช่การปฏิบัติ
แบบหนีปัญหาทอดทิ้งธุระ แต่เป็นการปฏิบัติเพื่อให้อยู่กับปัจจุบันธรรม ในโลกแห่งความเป็นจริง
เชื่อมั่น-ศรัทธา-ปรารถนาดี-ด้วยไมตรีจิต
รวี สัจจะ-สมณะไร้นาม-วจีพเนจร
๑๖ สิงหาคม ๒๕๕๔ เวลา ๐๕.๐๕ น. ณ ตถตาอาศรม บ้านบึง ชลบุรี