สมาธิเราสามารถอยู่ได้ตลอดเวลา นั่นคือเราต้องรู้ปัจจุบันขณะตลอด ทุกอริยาบท สามารถทำได้ แต่สมาธิทำให้เกิดปัญญาได้เราจะต้องยกจิตขึ้นพิจารณา ถึงจะเกิดปัญญา ปัญญาที่ว่าคือความเข้าใจในการเกิด ตั้งอยู่และดับไป ไม่ใช้บอกว่าปัญญาที่ทำให้เราสามารถรู้ทุกเรื่องที่เราไม่เคยศึกษา พระพุทธเจ้าสอนให้ศึกษาจากร่างกายเรานี้แหละ ความรู้ ผู้รู้ก็ได้จากตัวเรา ร่างกายเรานี้แหละ เมื่อเรานั่งดูจิต เข้าใจ รูปนาม สามารถแยกรูปและนามออกจากกันได้ เราจะเห็นเกิดดับของขันธ์ 5 เข้าใจ เมื่อจิตรู้ทันก็จะปล่อยวาง เราก็จะเกิดปิติครับ แต่ก็อย่าไปหลงติดกับปิติ เพราะไม่ใช่หนทางดับทุกช์ ควรศึกษาลงในราบละเอียดของแต่ละอย่างมากขึ้นครับ
ชอบข้อความนี้มากๆ ครับ เป็นการอธิบายได้ชัดเจนเป็นที่สุด กับการทำสมาธิ
กระชับได้ใจความ พระอาจารย์ที่วัดอโศกราม สมุทรปราการ ก็สอนผมมาแบบนี้ครับ
ถ้าท่านใดปฎิบัติได้ตามนี้ รับรอง ท่านจะได้รู้ได้เห็นอะไรอีกมาก และไม่เสียทีที่เกิดเป็นมนุษย์
เพิ่มเติมเคล็ดลับ อย่างนึงต่อจากคุณ cartoon_2 คือ
จำไว้ขึ้นใจเลยนะครับ....เมื่อจิตนิ่งแล้ว จะเกิดความปิติ
จงอย่าไปยินดีกับสิ่งนั้น ไม่งั้นจิตหลุดคือไม่นิ่ง ต้องตั้งต้นใหม่
ขอบคุณมากๆครับ ผมจะพยายามต่อไป
เกิดมาเป็นมนุษย์ทั้งที ธรรมชาติมอบร่างกายมาให้ใช้แล้ว ผมจะใช้เพื่อให้เกิดประโยชน์ให้มากที่สุด
การพิจารณารูป เวลาเรานั่งสมาธิ จะเห็นการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย เช่นเกิดการเมื่อย ล้า เหน็บ หรือมีอาการชา ให้เราถอยออกไปนั่งดู การเกิดของอาการเหล่านี้ มันจะเกิด เมื่อเกิดแล้วมันจะค่อยๆสูงขึ้น และท้ายที่สุดมันก็หายไป คือดับไป เป็นไปตามหลักธรรมชาติ ตัวเรา ร่างกายเราไม่ใช่ของเรา เกิดดับมันใีอยู่ตลอดให้เห็น
อาการของเวทนา เกิดความทุกข์ เกิดความสุข เกิดความโลภ อยากได้โน่นได้นี่ แม้กระทั่งโกรธ เป็นอาการของเวทนาที่ร่างกายได้รับ สัญญาเป็นสิ่งที่ทำให้จำได้ระลึกได้ สังเกตุดูว่า ถ้าใครมาพูดแบบนี้ อย่างนี้จะโกรธ จะส่งอารมณ์ให้เกิดเวทนาได้ หรือแม้กระทั้่งเห็นไก่ นึกถึงรสชาติของต้มไก่ เป็นต้น ตัวสังขารเป็นอีกอันที่ทำให้มนุษย์เราเกิดทุกข์ เพราะจะปรุงแต่งไปเรื่อยๆ คิดไปต่างๆนาๆ ปรุงไปเรื่อย ปรุงไปจนตัวเองก็ทุกข์ ตัวสุดท้ายก็คือวิญญาน เป็นตัวที่บอกว่าตัวกูขิองกู สิ่งที่ปรุงมา ระลึกได้ ปรุงแต่งมาเป็นของเรา
เมื่อเราเข้าใจถึงขันธ์ 5 เราควรละและวางเสีย การละวางเราต้องละมาจากจิต ไม่ใช่คิด จิตที่ละได้นั้นจะทำให้เราเห็นตัวรู้ เมื่อเรารู้จิตจะปล่อยวางทันที ความโกรธจะหายไป โลภจะหายไป หลงจะหายไป หายไปจากจิต สิ่งที่เราได้เรียนมา ว่าโกรธ ต้องให้อภัย ที่ผ่านมาเราอภัยแต่ปาก แต่คิด ไม่ได้เกิดจากใจ เมื่อยกจิตขึ้นพิจารณาเราจะเห็นจิตที่แท้จริงว่ามันยังติดเรื่องโกรธ หรือกิเลสอื่นหรือไม่ เมื่อเรานั่งมองดูจิตอย่างเข้าใจ เห็นเกิดดับของกิเลสเรานี้ เห็นจนเป็นธรรมชาติที่มันเป็นแบบนี้ นี่แหละกองทุกข์แท้ๆของมนุษย์ กองทุกข์กองใหญ่ จิตเกิดการยอมรับ ปล่อยวาง เราจะรู้สึกปิติ อาการจะมีลักษณะเบาอกเบาใจ ครื้มอกครื้มใจ ใจเบาสบาย เพราะกิเลสมันได้ปล่อยแล้ว
ถ้าเราเข้าถึงตรงนี้ เราจะเข้าใจทันทีว่าสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านสอนนั้น อยู่ใกล้เรามาก เราจะค้นเจอหรือไม่
ขอให้พบเจอและสามารถหาทางดับทุกข์ได้ครับ