กรรมตามทัน ไม่ต้องรอชาติหน้า
ใครจะคิดว่าการทำบาปที่คิดว่าเล็กน้อยและเป็นเรื่องสนุกสนานในวัยเด็กจะมีผลเกิดกับชาตินี้โดยไม่ต้องรอให้ถึงชาติหน้าหรอก ความทรงจำของคนนั้นสั้นมาก ไม่เชื่อลองถามตัวเองว่าเราจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเราย้อนหลังไป ๒๐ ปี หรือแค่เมื่อวานเราได้ทำอะไรลงไปบ้าง ถ้าไม่มีอะไรมาสะกิดใจเราจะยังจำได้หรือเปล่า พระท่านกล่าวว่า คนเรานอนหลับไปในเวลากลางคืนก็เหมือนคนตายไปแล้วนั้นแหละ ตื่นขึ้นมาเป็นคนใหม่ได้ทุกวัน
ปัจจุบันนี้ดิฉันยังทำงานรับราชการอยู่ต่างจังหวัดโซนภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลางตอนบน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อปี ๒๕๓๘ ถึงแม้มันจะผ่านไปนานแล้วแต่มันเป็นครั้งหนึ่งในชีวิตที่ไม่เคยลืมเลือน เพราะมันเป็นอุทาหรณ์สอนใจตนเองเสมอ
เย็นวันศุกร์ดิฉันและครอบครัวประกอบด้วยสามีและลูกชายวัย ๗ ขวบกำลังทานอาหารเย็นกันอยู่ จำได้ว่ากับข้าวมีต้มยำกุ้ง ซึ่งเป็นของโปรดของทุกคน ดิฉันทานเหมือนปกติ แต่รู้สึกว่าลิ้นชาหลังทานข้าวเสร็จ ได้แต่นึกในใจ ว่าอ๋อ..น้ำต้มยำคงร้อนรีบทานทำให้ลิ้นชา ไม่ได้นึกเอะใจ.. จนกระทั่งตื่นเช้า(วันเสาร์) รู้สึกตัวว่าวันนี้ทำไมแสบตาจัง พอล้างหน้าแปรงฟัน เริ่มรู้สึกแปลกๆ..ทำไมอมน้ำไม่อยู่ น้ำไหลออกที่มุมปากข้างหนึ่ง เงยหน้าดูกระจก เริ่มตกใจหน้าซีกขวาไม่ขยับ ตาไม่กระพริบ ปากเบี้ยว คิ้วตก จึงรีบไปโรงพยาบาลประจำจังหวัด เจอคุณหมอเด็กมาเข้าเวร แต่ท่านก็จ่ายยาพีนิโซโลนให้ลองมาทานก่อน และแนะนำให้มาใหม่วันจันทร์จะได้พบหมอเฉพาะทาง ด้วยความตกใจเพราะปกติดิฉันเป็นคนค่อนหน้าตาดี แต่อยู่ดีดี ตื่นมาหน้าเบี้ยวใครจะรับได้ ดิฉันตัดสินใจลางานวันจันทร์ไปโรงพยาบาลศิริราช ขอพบหมอศัลยกรรม(เป็นเพื่อนกับคุณลุงซึ่งแนะนำให้ไปพบ) คุณหมอกำลังสอนนักศึกษาแพทย์กลุ่มหนึ่งพอดี ดิฉันเข้าไปปรึกษา เล่าอาการให้ฟังอย่างดี คำแรกที่ลุงหมอพูดขึ้นมา “ก่อนนอนหนูสวดมนต์ไหว้พระหรือเปล่า” เราก็นึกในใจมันไม่เห็นจะเกี่ยวกับโรคที่เป็นซักหน่อย ลุงหมอยังบอกอีกว่า “โรคนี้ไม่น่ากลัวหรอก อย่าเครียด ทำใจให้สบาย ถ้าไม่หาย เดี๋ยวผ่าตัดให้สวยกว่าเก่าอีก ที่จริงกลับไปรักษาที่โรงพยาบาลประจำจังหวัดนั้นแหละไม่ต้องมาถึงนี่หรอก” ตอนนั้นรู้สึกอายน้องนักศึกษาแพทย์มาก
สุดท้ายก็กลับมารักษาที่โรงพยาบาลในจังหวัดที่อยู่ อาทิตย์แรกพบหมอเฉพาะทาง จัดยาให้ทานหนึ่งสัปดาห์ แล้วมาดูอาการใหม่ อาทิตย์ต่อมาก็มารับยาเดิม แต่สังเกตว่ามีเปลี่ยนยาหนึ่งตัว ก็ไม่ได้คิดอะไร กินไปได้ ๒ วันรู้สึกเจ็บหน้า เลยกลับมาพบหมอ คุณหมอแปลกใจขอดูยา ปรากฏว่ายาที่เปลี่ยนไปคุณหมอไม่ได้สั่ง แต่เภสัชกรรู้ดีเปลี่ยนยาเอง เพราะจังหวะยาที่หมด เลยเอาอีกตัวให้ไปแทนโดยไม่ได้แจ้งให้หมอทราบ จำได้ว่ายาที่เปลี่ยนคือโวทาเรลชนิดเม็ด เราก็เข้าใจเอาเองว่า อ๋อมันเป็นยาคลายกล้ามเนื้อเหมือนกัน เพราะคุณหมอได้อธิบายไว้ว่า โรคที่เกิดขึ้นเป็นเพราะสาเหตุมาจาก ๑. เครียด ๒.ไวรัสจับเส้นประสาทที่ ๗ บังคับกล้ามเนื้อหน้า ทำให้มันไม่ทำงาน ๓.ขากรรไกรอักเสบ ทำให้ประจวบเหมาะ ตกลงเภสัชก็โดนหมอเรียกมาต่อว่า ดิฉันก็ไม่เอาเรื่องติดใจเอาความ ทำให้เภสัชคนนี้รีบเข้ามาขอโทษและจำเราได้แม่นก่อให้เกิดผลดีในครั้งต่อมา ดิฉันรักษาด้วยการทานยาอย่างเดียวเดือนครึ่ง อาทิตย์สุดท้ายของการมารับยาก็เกิดเรื่องอีก หมอที่เคยรักษาลาพักร้อน พยาบาลหน้าห้องอายุรกรรม แจ้งบอกจะรอพบหมอคนเดิมหรือเปล่า ดิฉันไม่คิดอะไรมาก เข้าใจว่ามารับยาเดิม หมอไหนก็คงสั่งให้ได้ ดิฉันจึงบอกไม่เลือกค่ะ เข้าห้องไหนก็ได้ปรากฏว่า เป็นห้อง ๑ หมอเฉพาะทางโรคเลือด(แพ้ภูมิตัวเอง) ก็ไม่ทราบเกิดอะไรขึ้นอีก เจอหมอชุ่ยหรือยังไงไม่ทราบ ไม่ถามไม่พูด เขียนใบสั่งยาส่งให้ เราก็ไปนั่งรับยาปกติ พอดีเจอเภสัชคนเดิมประกาศเรียกให้ดิฉันเข้าไปในห้องยา บอกว่า “พี่..ผมจำโรคที่พี่เป็นได้ ยาที่หมอสั่งวันนี้พี่อย่ากินนะ นี่เป็นยารักษาโรคเลือด พี่ทำเรื่องคืนยา แล้วรอมาพบหมอที่เคยรักษาดีกว่า”โอ้..พระเจ้า ดิฉันนึกในใจ นี่ถ้าเราเป็นตาสีตาสา คงตายเพราะยาที่กินแน่ มันเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตช้านนนน....”
และแล้วก็ถึงกำหนด รักษาด้วยการทำกายภาพบำบัดด้วยการจี้ด้วยเครื่องไฟฟ้า กระตุ้นกล้ามเนื้อที่มันขี้เกียจทำงาน (คุณหมอบอก) ดิฉันไปขออนุญาตหัวหน้า ว่าต้องมารักษาช่วงบ่าย ๒ ทุกวัน เป็นเวลา ๒ สัปดาห์ ขณะที่ดิฉันล้มตัวลงนอนดิฉันเกิดความรู้สึกมันแวบเข้ามาในหัวตัวเอง ว่าเมื่อสมัยตอนที่ดิฉันยังเรียนหนังสืออยู่ชั้น ม.ศ. ๒ (๒๐กว่าปีแล้ว) ช่วงใกล้สอบดิฉันมาพักอยู่กับญาติทำให้ค่อนข้างเกรงใจ เลยออกมาอ่านหนังสือที่ระเบียงนอกบ้านจะได้ไม่เปิดไฟแยงตาคนนอนในบ้าน จึงใช้โคมไฟฟ้าอ่านหนังสือจนดึก ยุงเริ่มเยอะ ตอนแรกตบทิ้งธรรมดา ต่อมาเกิดอุตริ พยายามตบยุงไม่ให้ตาย แล้วเด็ดปีกกับขาอย่างละข้างไม่ให้มันหนีไปได้ แล้ววางบนฐานโคมไฟซึ่งกำลังร้อน อ่านหนังสือไป ดูยุงเต้นระบำบนโคมไฟไปจนมันตายไปก็หาเหยี่อตัวใหม่ คืนหนึ่งยุงตายกองใหญ่ ดิฉันเริ่มทำบาปแบบนี้ทุกคืนที่อ่านหนังสือจนสอบเสร็จ แล้วไม่รู้สึกถึงความโหดร้ายของตนเอง กับคิดว่ามันสนุกดี น่าแปลกนะพอเครื่องกระตุ้นไฟฟ้าเริ่มจี้มาที่หน้าดิฉันกลับรู้สึกขึ้นมาเอง อ้อ..ยุงที่ดิฉันทรมานมัน มันเจ็บแบบนี้นี่เอง สุดท้ายดิฉันเริ่มคิดได้ เค้าคงมาทวงหนี้แค้นคืน มิน่าล่ะ..ช่วงแรกที่รักษาด้วยยา มีปัญหาเข้ามาตลอดเหมือนไม่อยากให้เราหาย (ดีที่เราไม่จองเวรกับคนอื่นต่อ) คราวนี้ลองคิดดูซิ.. การที่เอาไฟฟ้ามาจี้ที่หัวคิ้ว หางตา มุมจมูก มุมปาก มันเป็นส่วนที่บอบบาง (จุดละ ๒๕ -๓๐ ครั้ง ปกติแค่โดนไฟดูดครั้งเดียวก็แย่แล้ว) บางวันเจ้าหน้าที่เปิดเครื่องกระตุกแรง เราก็ต้องทนเจ็บเพราะอยากหาย ทรมานมากกกกกก....
สุดท้ายดิฉันเริ่มสำนึกได้ เปิดใจยอมรับสภาพตนเองอะไรจะเกิดขึ้นอีก รับได้ทุกอย่าง ก่อนนอนหรือเวลาที่ทำกายภาพบำบัด จะนึกภาวนาในใจ ฉันขอใช้หนี้กรรมให้แล้ว อย่าจองเวรกรรมกันอีกเลย ขออโหสิกรรมแก่กันด้วย และสิ่งที่เป็นกำลังใจอันสำคัญอีกอย่างหนึ่งคือครอบครัวนั่นเองที่คอยให้กำลังใจอันยิ่งใหญ่อยู่เสมอ สำหรับสามี ดิฉันเคยถามสามีว่า “ถ้าแม่ไม่หายกลายเป็นคนปากเบี้ยวไปตลอด พ่อยังจะรักแม่ไหม” สามีบอกว่า “เราอยู่ด้วยกัน ไม่ใช่ที่หน้าตา พ่อรักแม่ที่หัวใจ ไม่ใช่ร่างกาย”(ชื่นใจและภูมิใจมาก) และสำหรับลูกจะคอยให้กำลังใจทุกคืน โดยจะมาเปิดดูหน้าตอนนอนด้วยกันว่า”ตาของแม่ใกล้ปิดเหมือนเดิมแล้ว” ช่วงที่ป่วยตาข้างขวาจะปิดครึ่งเดียว ทำให้แสบตามาก น้ำตาไหลตลอดเวลา กลางวันต้องใส่แว่นตากันแดด กลางคืนต้องหาผ้ามาปิดตาเพื่อกันลมและแสง อมน้ำไม่ได้ มันไหลออกมาข้างที่เป็น เวลายิ้ม หรือพูดเหมือนคนปากเบี้ยว ทานข้าวก็ลำบากลำบน อาการป่วยของดิฉันใช้การรักษาด้วยยาและทำบำบัดด้วยไฟฟ้ากินเวลาทั้งหมด ๔ เดือนจนหายเป็นปกติ ดิฉันแอบถามคุณหมอด้วยความกังวลใจว่า มันจะกลับมาเป็นอีกไหมคะ คุณหมอตอบว่า “ มันก็เหมือนคนที่เคยถูกหวยรางวัลที่๑ มันคงจะไม่โชคดีถูกซ้ำอีกครั้งหรอกครับ” เฮ้อ..โล่งอก.....